วันนี้เรามาอธิบายถึงรองเท้าวิ่งถนนและรองเท้าตะปูของแบรนด์ Adidas ในปี 2021 ถึง 2022 กันว่ามีรุ่นใดบ้างที่นักวิ่งของทีม Tinman Elite เลือกใช้ทั้งในการฝึกซ้อมและแข่งขัน รวมทั้งแต่ละรุ่นเหมาะกับการฝึกซ้อมแบบใด? และเทคนิคการฝึกซ้อมของพวกเขา ซึ่งจะน่าสนใจแค่ไหน เชิญติดตามได้เลยครับ

ปล.
- เนื้อหาภายบทความนี้เป็นการรวมรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Performance ที่มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการใช้งานของแบรนด์ Adidas ทั้งหมด ซึ่งจะไม่มีการนำรองเท้าแฟชั่นมารวมภายในบทความนี้
- บทความนี้มีสารบัญแล้ว ท่านใดที่ต้องการเข้าถึงเนื้อหาตรงส่วนใด สามารถกดที่สารบัญได้เลยครับ
- ทำความรู้จักกับทีม Tinman Elite
- รองเท้าวิ่งถนน Adidas รุ่นไหนบ้าง? ที่ถูกเลือกใช้และใช้กับการฝึกซ้อมแบบใด?
- รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes)
- รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes)
- รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)
- สรุปรองเท้าวิ่งถนนของแบรนด์ Adidas ที่ Reed Fischer ใช้งาน
ทำความรู้จักกับทีม Tinman Elite

Tinman Elite เป็นทีมวิ่งน้องใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ณ เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้ก่อตั้งทีม คือ Drew Hunter (ปัจจุบันอายุ 23 ปี) อดีตนักกรีฑาเยาวชนประเภทลู่ ผู้เชี่ยวชาญในการวิ่งระยะกลาง (1,500 เมตร, 1 ไมล์ และ 3,000 เมตร) จากรัฐเวอร์จิเนีย
ซึ่ง Drew Hunter ในวัย 18 ปี มีผลงานวิ่งที่โดดเด่นมากมายจนถูกทางแบรนด์ Adidas ทาบทามให้เข้ามาเป็นนักกีฬาอาชีพของแบรนด์และเสนอสัญญาเป็นเวลา 10 ปี รวมทั้งสนับสนุนทุนการศึกษาในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

หลังจากนั้น เขาตัดสินใจย้ายไปฝึกซ้อม ณ เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งเป็นเมืองที่เหมาะกับการฝึกซ้อมวิ่งจากทั้งสภาพอากาศที่ยอดเยี่ยม (มีแสงแดด 300 วันต่อปี) และระดับความสูงที่เหมาะสม (มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเริ่มต้นที่สูงถึง 1,621 เมตร)
และการย้ายมาครั้งนี้ เขายังได้โค้ชมืออาชีพที่เคยฝึกสอนเขาตอนมัธยมปลายอย่าง Dr. Thomas Schwartz หรือเจ้าของฉายา “Tinman” กลับมาช่วยวางแผนการฝึกซ้อมให้

ซึ่งฉายาของโค้ช Schwartz อย่าง “Tinman” เป็นชื่อเล่นที่ตั้งขึ้นเองตามชื่องานแข่งไตรกีฬาในท้องถิ่นของเมืองบ้านเกิดของเขาอย่างเมือง Menomonie รัฐ Wisconsin โดยงานแข่งมีชื่อว่า “Menomonie Tinman Triathlon”
ต่อมา Drew Hunter ได้ดึงเพื่อนนักวิ่งของเขาที่เคยแข่งขันด้วยกันตอนมัธยมปลายอย่าง Reed Fischer เข้าร่วมฝึกซ้อมด้วยกันและนำไปสู่การตั้งกลุ่มวิ่งเล็กๆ ที่อาศัยอยู่และฝึกซ้อมร่วมกัน จนภายหลังเริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้น

และในเดือนตุลาคม ปี 2017 พวกเขาได้เรียกตัวเองอย่างเป็นทางการว่า “ทีม Tinman Elite” และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน พวกเขาได้ลงสนามแข่งครอสคันทรีในรูปแบบทีมเป็นครั้งแรกในรายการแข่ง USATF Club Cross Country Championships และสามารถคว้าแชมป์ประเภททีมได้สำเร็จ
ซึ่งการคว้าแชมป์ครั้งแรกนี้ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ในรายการแข่งนี้ได้ถึง 3 ปีซ้อน (2017, 2018, และ 2019) ทำให้ชื่อเสียงของ Tinman Elite เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
แต่ก็มีผู้คนบางกลุ่มเรียกพวกเขาว่า “กลุ่มเด็กบ้าแห่งวงการวิ่ง” ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นต่างไม่เข้าใจว่าพวกเขาทำมันให้สำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร

Sam Parsons อีกหนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งได้เล่าว่า “พวกเรา Tinman Elite รู้ดีว่าพวกเราคือใครและกำลังจะทำอะไร ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของความสุข มันเกี่ยวกับโค้ชของเรา และมันเป็นเรื่องของความจริงใจ ที่จะทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมถึงการวิ่งได้”
Reed Fischer ได้เล่าเสริมถึงวัยเด็กของเขาว่า “ผมเติบโตมากับการดูนักวิ่งสองเหรียญโอลิมปิกอย่าง Galen Rupp ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือ นักวิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล แต่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนอกจากชื่อและผลงานของเขา”
“เพราะนักแข่งอาชีพเหล่านี้จะมีการฝึกซ้อมที่เป็นความลับ และออกมาเฉพาะเวลาแข่งเท่านั้น จากนั้นก็กลับเข้าถ้ำลับเพื่อฝึกซ้อมต่อ ซึ่งผมควรจะยกย่องเขา แต่เขาไม่ได้ให้ประโยชน์หรือความรู้อะไรเลย ผมจึงไม่ได้ใส่ใจพวกเขามากนัก”
นั่นคือสิ่งที่ Tinman Elite แตกต่าง พวกเขาให้ความสำคัญกับเหล่าแฟนๆ ของพวกเขา โดยพวกเขามักจะจัดกิจกรรมวิ่งในชุมชนและในเมืองต่างๆ ที่พวกเขาไปลงแข่งขัน เพื่อพบปะ ตอบคำถามและให้แรงบันดาลใจกับเหล่าแฟนๆ ที่ส่วนใหญ่คือ นักกีฬาเยาวชนระดับมัธยมปลาย

โดยทีม Tinman Elite นิยามทีมของพวกเขาไว้ว่า “พวกเราไม่ใช่กลุ่ม หรือองค์กรเคลื่อนไหวทางสังคม หรือไม่แม้แต่เป็นชมรมวิ่งลู่ แต่พวกเราคือ “ทีม” ทีมที่ผลักดันและดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อขึ้นเป็นหนึ่งในทีมวิ่งที่ได้รับการยอมรับและน่าเคารพมากที่สุดในโลก”
“เป้าหมายของพวกเราคือ การยกระดับมาตรฐานการวิ่งของนักวิ่งระดับมืออาชีพ ตั้งแต่ระยะ 800 เมตร ไปจนถึงระยะมาราธอน และพวกเราแสวงหาที่จะให้โอกาสสำหรับนักวิ่งที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองในการแข่งขันระดับอาชีพและมีความสามารถในระดับมาตรฐานโอลิมปิก”

สุดท้าย ขวานสองเล่มที่เป็นตราสัญลักษณ์ของทีม Tinman Elite มีความหมายคือ ขวานเล่มแรกเป็นตัวแทนของการทำงานและการฝึกซ้อมอย่างหนักในทุกๆ วัน ความน่าเชื่อถือ ความเข้มงวด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิ่งอย่างพวกเขาต้องการที่จะเป็น ทั้งในการฝึกซ้อมและในสนามแข่ง
ขวานเล่มที่สองแทนการทำงานเป็นทีม การมีเป้าหมายเดียวกัน การช่วยเหลือและผ่านอุปสรรคไปพร้อมกันในฐานะของเพื่อน ซึ่งพวกเขาจะค่อยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
และขวานทั้งสองเล่มจะวางหันหลังให้กันและถูกพันรอบล้อมด้วยผ้าที่มีชื่อว่า Tinman Elite

รองเท้าวิ่งถนน Adidas รุ่นไหนบ้าง? ที่ถูกเลือกใช้และใช้กับการฝึกซ้อมแบบใด?
Reed Fischer หนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งของทีม Tinman Elite จะเป็นผู้ที่มาอธิบายถึงการใช้รองเท้าวิ่งถนนของแบรนด์ Adidas ในฝึกซ้อมของเขาและทีม ซึ่งเขาได้แบ่งรองเท้าวิ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes)
- รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes)
- รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)
เสริมเพิ่มเติม
- เนื้อหาภายในคลิปจะเป็นช่วงที่เขากำลังฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งขันในระยะมาราธอนเป็นหลัก และ ณ เวลา นั้น ในช่วงปลายปี 2021 รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่และรุ่นสานต่อต่างๆ ยังไม่ถูกเปิดตัว ซึ่งในบทความนี้ ทางเราจะมีการเล่าถึงรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ที่ถูกเปิดตัวเพิ่มเข้ามาให้อีกด้วย
- สถิติเวลาการวิ่งส่วนตัวของ Reed Fischer มีดังนี้
- 5,000 เมตร ➞ 13:43.46
- 10,000 เมตร ➞ 28:12.5
- 15 กม. ➞ 44:44
- ฮาล์ฟมาราธอน ➞ 1:01:37
- มาราธอน ➞ 2:14:41 (สถิติมาราธอนนี้ถูกทำขึ้นหลังจากการฝึกซ้อมในคลิปนี้)
รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes)
รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes) เป็นรองเท้าวิ่งที่มุ่งเน้นไปที่การเก็บระยะวิ่งในแต่ละวัน โดยสิ่งสำคัญคือ การหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด ซึ่ง Reed Fischer จะกล่าวถึงทั้งหมด 2 คู่ คือ Adidas Solar Glide 4 และAdidas Supernova
ซึ่งทางเราจะอธิบายไปพร้อมกับรองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวันรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ Adidas ประกอบกันไปด้วย โดยเริ่มจาก
ตระกูลรองเท้าวิ่งถนนสำหรับฝึกซ้อมประจำวันของแบรนด์ Adidas ในปี 2022
รองเท้าวิ่งถนนสำหรับฝึกซ้อมประจำวันในกลุ่ม Performance ของแบรนด์ Adidas ในปี 2022 จะมีทั้งหมดอยู่ 4 รุ่น ซึ่งสามารถเรียงตามระดับความพรีเมียมได้ดังนี้
- Adidas Solar Boost 4 (พรีเมียมที่สุด)
- Adidas Solar Glide 5
- Adidas Supernova+
- Adidas Supernova (รุ่นเริ่มต้น)

ปล. สำหรับ Adidas Ultra Boost 22 ที่เป็นรองเท้าวิ่งที่มีราคาสูงที่สุด แต่วัตถุประสงค์ของรองเท้าที่มุ่งเน้นไปที่นักวิ่งมือใหม่เป็นหลักที่ต้องการแรงบันดาลใจในการออกวิ่ง ทำให้ทางเราไม่จัดให้อยู่ในรองเท้าวิ่งกลุ่ม Performance
Adidas Ultra Boost, Solar Boost, Solar Glide ทั้งสามตระกูลต่างกันอย่างไร?
เสริมเพิ่มเติมสำหรับรองเท้าวิ่งทั้งสามตระกูลอย่าง Ultra Boost, Solar Boost, และ Solar Glide ของแบรนด์ Adidas ที่มีการใช้งานที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
Adidas Ultra Boost 22
ตระกูล Ultra Boost เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันระดับพรีเมียมกึ่งแฟชั่น ที่มุ่งเน้นไปที่การออกกำลังกายประจำวัน เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้งหรือวิ่งซิตี้รัน ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมากกับนักวิ่งมือใหม่
โดยตั้งแต่ Adidas Ultra Boost 19 ในปี 2019 เป็นต้นมา ทางแบรนด์ Adidas จะเป็นการออกแบบรูปลักษณ์ของรองเท้าตามกระแสแฟชั่นที่ถูกเรียกว่า “Dad shoes” หรือ “Chunky sneakers” (หรือรองเท้าแฟชั่นที่หนาและเทอะทะ)

ซึ่งเป็นกระแสที่กำลังกลับมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปในช่วงปี 2017 เป็นต้นมา โดยเป็นการมาแทนที่กระแสแฟชั่นเดิมอย่าง “Minimalist Sneakers” (หรือรองเท้าแฟชั่นที่เรียบหรู น้อยแต่มาก) ซึ่งคนไทยจะรู้จักกันเป็นอย่างดีกับรองเท้าแฟชั่นอย่าง Adidas Stan Smith

ทำให้ Adidas Ultra Boost 19 ไปจนถึง 22 ถูกออกแบบให้รูปลักษณ์ดูหนาและใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมากในแต่ละรุ่นที่ออกมา
โดยเหตุผลที่ทางแบรนด์ Adidas เลือกออกแบบให้ตระกูล Ultra Boost เป็นรองเท้าวิ่งกึ่งแฟชั่น เนื่องจากต้องการเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับนักวิ่งมือใหม่ได้หยิบรองเท้าออกไปวิ่ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของตัวพวกเขาเอง
และแม้ว่าตระกูล Ultra Boost จะออกมาทางแฟชั่น แต่ทางแบรนด์ Adidas ก็ยังออกแบบและติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาให้ในตัวรองเท้า
โดย Adidas Ultra Boost 21 และ 22 จะมาพร้อมแผ่น Torsion รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า LEP (“Linear Energy Push” Torsion System) ซึ่งเป็นแผ่น Torsion ที่ถูกออกแบบให้บริเวณปลายเท้ามีความแข็งและงอตัวได้ยากขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรง
และ LEP (“Linear Energy Push” Torsion System) นี้เองที่จะเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญให้กับรองเท้าวิ่งตระกูล Boost ยุคใหม่ในปี 2021 เป็นต้นมา
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Ultra Boost 22 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า PRIMEKNIT แบบ PRIMEBLUE + PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion แบบ LEP
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 331 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 289 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 23 มม. และส้นเท้าสูง 33 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- มีรุ่นเฉพาะของผู้หญิง ที่มีการเพิ่มดอกยางบริเวณอุ้งเท้าด้านในเข้ามา
- ราคา: 7,000 บาท
Adidas Solar Boost และ Solar Glide
ตระกูล Solar เป็นซีรีส์ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 โดยเข้ามาทำหน้าที่เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวัน (Daily Trainers) ที่มุ่งเน้นไปที่การใช้ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Performance ของแบรนด์ Adidas
และในปัจจุบันปี 2022 สามารถแบ่งเป็น 2 รุ่นหลัก คือ Solar Boost ที่เป็นรุ่นพรีเมียม และ Solar Glide ที่เป็นรุ่นรอง
Adidas Solar Boost 4
Solar Boost เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันระดับพรีเมียมที่ดีที่สุดในประเภทซ้อมประจำวัน โดยจะเป็นรุ่นที่ได้รับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดก่อน ซึ่งหากเทียบภายในปีเดียวกันอย่างปี 2021 Adidas Solar Boost 3 เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีการติดตั้งแผ่น Torsion แบบ LEP มาให้ แต่ในรุ่น Solar Glide 4 ยังไม่มี
และ Adidas Solar Boost 3 จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 305 กรัมในไซส์ 9US ชาย ซึ่งเบากว่า Solar Glide 4 ราวๆ 13 กรัม
อย่างไรก็ตาม ในปี 2022 นี้ Adidas Solar Boost 4 ไม่ได้มีการถูกปรับปรุงมากนัก จะมีเพียงการปรับปรุงในส่วนของลวดลายหน้าผ้าเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากรุ่น Solar Glide 5 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด

ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Solar Boost 4 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Engineered Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST + EVA Rail
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion แบบ LEP
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 305 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 270 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 5,700 บาท
Adidas Solar Glide 4
Adidas Solar Glide 4 ในปี 2021 เป็นรองเท้าวิ่งคู่หลักที่ Reed Fischer ใช้ในการฝึกซ้อมประจำวันมากที่สุด ซึ่งเขากล่าวว่า “รองเท้าวิ่งคู่นี้มีความนุ่มและสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี ซึ่งมันให้ความรู้สึกว่า ผมสามารถที่จะนำไปใช้วิ่งได้ในทุกรูปแบบ โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักวิ่งไม่ว่ามือใหม่หรือมืออาชีพก็ตาม”
“และโดยปกติ ผมจะใช้รองเท้าคู่นี้ประมาณ 600 ถึง 800 กม. ซึ่งนักวิ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะใช้ได้นานถึง 6 เดือน แต่สำหรับผมที่ใช้ในการฝึกซ้อมอย่างจริงจังก็จะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน”

และหากอ้างอิงตามข้อมูลการวิ่งจาก Strava ของ Reed Fischer ในช่วงฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งขันมาราธอน เขาจะมีการวิ่งเก็บระยะทางอยู่ระหว่าง 150 – 180 กม. ต่ออาทิตย์ (หรือ 600 – 800 กม. ต่อเดือน) และวิ่ง 7 วันต่อสัปดาห์
โดยการซ้อมวิ่งเก็บระยะประจำวัน (Daily Training หรือ Easy Day) จะวิ่งประมาณ 4 – 5 วันต่อสัปดาห์ และบางครั้งจะมีการวิ่งทั้งเวลาเช้าและเวลาบ่าย ระยะทางตั้งแต่ 6 – 16 กม. (แบ่งเป็นวิ่งเวลาเช้า 16 กม. และบ่ายอีก 6 กม. ต่อวัน) รวมทั้งมีการวิ่งเก็บระยะหลังจากฝึกซ้อมทำความเร็ว (อีกประมาณ 6 กม.) ซึ่งความเร็วเพซในการฝึกซ้อมประจำวันจะอยู่ที่ระหว่าง 3:57 – 4:38 นาทีต่อกม.
ทำให้ Adidas Solar Glide 4 ของ Reed Fischer ถูกนำใช้งานมากถึง 60 – 80 เปอร์เซ็นต์ต่ออาทิตย์
โดย Adidas Solar Glide 4 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งประจำวัน (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง BOOST ที่มีการหุ้มด้วยโครงวัสดุ EVA รูปทรงราง (หรือ EVA Rail) อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล Solar ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและมั่นคงให้แก่รองเท้า
และพื้นด้านล่างจะมีการติดตั้งแผ่นพลาสติก Torsion แบบดั้งเดิม ที่บริเวณปลายเท้ายังคงสามารถงอตัวได้เป็นธรรมชาติ
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางของแบรนด์ Continental
เสริมเพิ่มเติม หน้าผ้าของแบรนด์ Adidas รุ่นใหม่จะแบ่งตามวัสดุรีไซเคิลได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ
- PRIMEGREEN เป็นหน้าผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Performance ของแบรนด์ Adidas ที่รวมถึงตระกูล Adizero
- PRIMEBLUE เป็นหน้าผ้าที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลจากท้องทะเล หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “Parley Ocean Plastic” ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในรองเท้าในกลุ่มแฟชั่นหรือรุ่นพรีเมี่ยมต่างๆ เช่น ตระกูล Ultra Boost

ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Solar Glide 4 (ในปี 2021)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST + EVA Rail
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion แบบดั้งเดิม
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 318 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 278 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $140 (ไม่มีวางจำหน่ายในไทย)
นอกจากนี้ตระกูล Solar Glide ยังมีรุ่นสำหรับนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators) อย่าง Adidas Solar Glide 4 ST ที่บริเวณอุ้งเท้าด้านในจะมีการเสริมโครง EVA ให้มีความเฟิร์มมากขึ้น (เรียกว่า Stable Frame) และหน้าผ้าจะมีการเสริมความแข็งแรงบริเวณอุ้งเท้าด้านใน เพื่อช่วยประคองและลดอาการล้มของเท้าในนักวิ่งเท้าแบน
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Solar Glide 4 ST (ในปี 2021)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST + Stable Frame
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion แบบดั้งเดิม
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 318 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 278 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $140 (ไม่มีวางจำหน่ายในไทย)
และในปี 2022 นี้ ทางแบรนด์ Adidas ได้ทำการเปิดตัวรุ่นสานต่อของตระกูล Solar Glide อย่าง Adidas Solar Glide 5 ที่เป็นการยกเครื่องใหม่เกือบทั้งหมด

โดย Adidas Solar Glide 5 จะมาพร้อมกับแผ่น Torsion รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถูกเรียกว่า LEP 2.0 (“Linear Energy Push” Torsion System) ซึ่งมีความแข็งกว่าแผ่น Torsion รุ่นดั้งเดิม ทำให้ปลายเท้างอตัวได้น้อยลง ส่งผลให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรง
และแผ่น Torsion แบบ LEP 2.0 จะไม่ใช่การติดตั้งไว้บริเวณด้านล่างสุดของพื้นชั้นกลางอีกต่อไป แต่จะติดตั้งอยู่ระหว่างพื้นชั้นกลางทั้ง 2 ชั้นแทน รวมทั้งจะมีลักษณะเป็นรูปทรงตัว X ที่บริเวณส้นเท้าจะมีการยกตัวของแผ่นขึ้นมาประคองบริเวณส้นเท้า เพื่อช่วยให้เท้าของนักวิ่งอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสมตลอดระยะทางการวิ่ง
ซึ่งแผ่น Torsion จะทำงานร่วมกับพื้นชั้นกลางทั้ง 2 ชั้น ที่ประกอบด้วย:
- พื้นชั้นกลางด้านบนที่เป็นวัสดุ EVA ซึ่งมีความยาวตลอดทั้งพื้นและมีลักษณะเป็นโครงที่โอบอุ้มเท้าของนักวิ่ง
- พื้นชั้นกลางด้านล่างที่เป็นวัสดุ BOOST ซึ่งมีความยาวตั้งบริเวณส้นเท้าไปจนถึงช่วงจมูกเท้า (Ball of Foot) ไว้สำหรับรองรับแรงกระแทก

ในส่วนของหน้าผ้าจะถูกเปลี่ยนเป็นผ้า Knit ระบายอากาศได้ดี ที่มีส่วนผสมจากทั้ง PRIMEBLUE และ PRIMEGREEN อย่างละ 50 เปอร์เซ็นต์ และในส่วนของดอกยางยังคงมาพร้อมกับดอกยางของแบรนด์ Continental
โดยรวม Adidas Solar Glide 5 จะมีพื้นชั้นกลางที่สูงขึ้นจากเดิมถึง 4 มม. โดย
- Adidas Solar Glide 5 มีปลายเท้าสูง 26 มม. และส้นเท้าสูง 36 มม. (Drop 10 มม.)
- Adidas Solar Glide 4 มีปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม. (Drop 10 มม.)
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Solar Glide 5 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Circular Knit แบบ PRIMEBLUE + PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST + EVA Rail
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion แบบ LEP 2.0
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 335 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 26 มม. และส้นเท้าสูง 36 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 5,200 บาท
Adidas Supernova
และรองเท้าวิ่งที่ทีม Tinman Elite เลือกใช้กันอีกหนึ่งรุ่นสำหรับการฝึกซ้อมประจำวัน นั่นคือ Adidas Supernova
โดย Reed Fischer กล่าวว่า “2 ใน 3 ของทีมเรา เลือกใช้รองเท้าวิ่งคู่นี้ในการฝึกซ้อม ที่ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งที่มีระยะทางในการซ้อมต่อสัปดาห์น้อยกว่าผม ซึ่งพวกเขาต้องการความรู้สึกที่เบากว่า ติดเท้าและตอบสนองดี ไม่ได้ต้องการปกป้องเท้าจากอาการบาดเจ็บมากขนาดนั้น”

“โดยรวม Adidas Supernova ให้ความรู้สึกที่เฟิร์มกว่า Adidas Solar Glide 4 แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ มันใช้งานทนทาน 600 ถึง 800 กม. และเหมาะสำหรับนักวิ่งที่ต้องการรองเท้าวิ่งที่ติดเท้ากว่าในการฝึกซ้อมประจำวัน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้นุ่มหรือเด้งคืนตัวเท่ากับ Solar Glide 4″
โดย Adidas Supernova เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งประจำวัน (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถือได้ว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นของรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Performance ของแบรนด์ Adidas
ซึ่ง Adidas Supernova จะประกอบด้วยพื้นชั้นกลาง 2 ส่วน ที่บริเวณปลายเท้าเป็นโฟม Bounce และบริเวณส้นเท้าเป็นโฟม BOOST แต่ภายในจะไม่มีการติดตั้งแผ่นพลาสติก Torsion มาให้
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะเป็นดอกยางรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ Adidas
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Supernova (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Bounce + BOOST
- ดอกยาง Rubber
- น้ำหนัก: 315 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 257 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 3,800 บาท
นอกจากนี้ ตระกูล Supernova ยังมีการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นในชื่อรุ่นว่า “Adidas Supernova+” ที่จะมีการเพิ่มพื้นโฟม BOOST เข้ามาบริเวณปลายเท้า และมีการยกระดับหน้าผ้าให้เป็นหน้าผ้า Engineered mesh ที่มีส่วนผสมจากทั้ง PRIMEBLUE และ PRIMEGREEN อย่างละ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงใช้พื้นโฟม Bounce เป็นพื้นชั้นกลางเชื่อมระหว่างบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Supernova+ (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Engineered Mesh แบบ PRIMEBLUE + PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Bounce + BOOST
- ดอกยาง Rubber
- น้ำหนัก: 320 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 279 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 4,500 บาท
รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes)
รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes) เป็นรองเท้าวิ่งที่มุ่งเน้นไปที่การใช้งานประเภท Interval และ Tempo รวมไปถึง Long Progression Run ซึ่ง Reed Fischer จะกล่าวถึงทั้งหมด 3 คู่ คือ Adidas SL20.2, Adidas Adizero Boston 10, และ Adidas Adizero Adios 6
ซึ่งทางเราจะอธิบายไปพร้อมกับรองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็วรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ Adidas ประกอบกันไปด้วย โดยเริ่มจาก
ตระกูลรองเท้าวิ่งถนนสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็วของแบรนด์ Adidas ในปี 2022
รองเท้าวิ่งถนนสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็วของแบรนด์ Adidas ในปี 2022 จะมีทั้งหมดอยู่ 4 รุ่น ซึ่งสามารถเรียงตามระยะทางการใช้งานได้ดังนี้
- Adidas Adizero RC 4 เหมาะกับระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
- Adidas Adizero Adios 6 เหมาะกับระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
- Adidas SL20.3 เหมาะกับระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน
- Adidas Adizero Boston 10 เหมาะกับระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน

Adidas Adizero RC 4
Adidas Adizero RC 4 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็วรุ่นเริ่มต้น (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
โดยตระกูล Adizero RC เป็นตระกูลรองเท้าวิ่งเก่าแก่ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2006 ในฐานะของรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันในระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน ก่อนที่ทางแบรนด์ Adidas จะยกเลิกสายการผลิตไปในช่วงปี 2010

ซึ่งในภายหลังในปี 2019 รองเท้า Adidas Adizero RC ถูกนำกลับมาผลิตอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้กลับมาในฐานะของรองเท้าวิ่งรุ่นเริ่มต้นสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็วแทน

และตั้งแต่ Adidas Adizero RC 2 ในปี 2020 เป็นต้นมา รองเท้าวิ่งตระกูลนี้ก็ได้กลายมาเป็นรองเท้าวิ่งที่นำเอาภาพลักษณ์ของตระกูล Adizero Adios มาปรับลดวัสดุลง เพื่อให้สามารถวางจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ซึ่ง Adidas Adizero RC 4 ในปี 2022 ก็เป็นการนำเอาโครงสร้างต่างๆ ของ Adidas Adizero Adios 6 มาใช้ โดยจะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike ตลอดทั้งพื้น

และพื้นด้านล่างจะมีการติดตั้งแผ่นพลาสติก Torsion รูปทรงก้ามปู (หรือ Wishbone Shape) ลักษณะเดียวกันกับในรุ่น Adizero Adios 6 ที่วางยาวตั้งแต่บริเวณปลายเท้าถึงส้นเท้า เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะเป็นดอกยางรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ Adidas
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero RC 4 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion รูปทรงก้ามปู
- ดอกยาง Rubber
- น้ำหนัก: ยังไม่มีการเปิดเผย
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 14 มม. และส้นเท้าสูง 24 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $100 (จะเริ่มวางจำหน่ายในต่างประเทศในช่วงกลางเดือนมีนาคมและคาดว่าเข้าไทย 3,7xx บาท)
Adidas Adizero Adios 6
Reed Fischer กล่าวว่า “Adidas Adizero Adios 6 เป็นรองเท้าวิ่งพื้นบางสำหรับฝึกซ้อม ที่ในอดีตตระกูล Adios เป็นรองเท้าวิ่งที่ Dennis Kimetto ใช้ทำสถิติโลกระยะมาราธอนไว้ในปี 2014 และเคยกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของรองเท้าวิ่งในช่วงก่อนที่รองเท้าวิ่ง Super Shoe จะมาถึง”

“ซึ่งในรุ่นใหม่นี้ ทางแบรนด์ Adidas ได้พัฒนาตระกูล Adios ขึ้นไปอีกขั้นจากที่เคยเป็นรองเท้าวิ่งพื้นบางที่มีความสูงเพียงครึ่งเดียวของรุ่นนี้ และเปลี่ยนไปใช้พื้นโฟม Lightstrike Pro บริเวณปลายเท้า และโฟม Lightstrike บริเวณส้นเท้า แต่ก็เหมือนกับ Adidas Adizero Boston 10 ที่ยังคงมีหน้าที่ในการใช้งานที่ไม่ต่างจากเดิม”
“โดย Adidas Adizero Adios 6 เป็นรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับการฝึกซ้อมทำความเร็วบนลู่ยางหรือการวิ่งทำความเร็วแบบ Fartlek บนถนน และหากผมอยู่ในช่วงฝึกซ้อมบนลู่ยาง ผมก็จะเลือกใช้รองเท้าคู่นี้มากกว่า Adidas Adizero Boston 10 ซึ่งมันมีน้ำหนักที่เบา ตอบสนองดี วิ่งสนุกมากและยังคงให้ความรู้สึกเหมือนกับตระกูล Adios รุ่นก่อนๆ”

ในด้านข้อมูลจำเพาะ Adidas Adizero Adios 6 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
โดยพื้นชั้นกลางจะประกอบด้วยพื้นโฟม 2 ส่วน คือ พื้นโฟมบริเวณปลายเท้าถึงกลางเท้าเป็นวัสดุ Lightstrike Pro และพื้นโฟมบริเวณส้นเท้าเป็นวัสดุ Lightstrike ที่มีความเฟิร์มกว่า
และพื้นด้านล่างจะมีการติดตั้งแผ่นพลาสติก Torsion รูปทรงก้ามปู (หรือ Wishbone Shape) ที่วางยาวตั้งแต่บริเวณปลายเท้าถึงส้นเท้า เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh ชั้นเดียว แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางของแบรนด์ Continental
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Adios 6 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Single-layer Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro + Lightstrike
- มาพร้อมกับแผ่น Torsion รูปทรงก้ามปู
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 231 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 221 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 8 มม. (ปลายเท้าสูง 19 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม.)
- มีทั้งหน้าเท้าปกติและหน้าเท้ากว้าง
- ราคา: 5,500 บาท
Adidas SL20.2
Adidas SL20.2 เป็นรองเท้าวิ่งที่ Reed Fischer ไม่ได้สวมใส่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากในการฝึกซ้อมทำความเร็วในแผนมาราธอน เขาจะเลือกใช้ Adidas Adizero Boston 10 เป็นหลัก ที่ให้การตอบสนองและส่งแรงได้ดีกว่า รวมทั้งให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับรองเท้าวิ่งที่เขาใช้แข่งขันอย่าง Adidas Adizero Adios Pro 2
ซึ่ง Reed Fischer ได้กล่าวถึงรองเท้าคู่นี้ไว้ว่า “Adidas SL20.2 เป็นรองเท้าวิ่งน้ำหนักเบา ที่เหมาะกับการฝึกซ้อมทำความเร็วที่ต้องใช้เวลานานหรือมีระยะทางที่ไกล ซึ่งถ้าผมต้องการรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี รองเท้าคู่นี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการฝึกซ้อมทำความเร็วระยะไกล (Fast Long Run)”

“ซึ่งพื้นชั้นกลางที่เป็นโฟม Lightstrike ในรองเท้าคู่นี้ไม่ใช่โฟม Lightstrike Pro ที่เป็น Super Foam แต่มันก็มีน้ำหนักที่เบามากๆ เมื่อเทียบกับโฟม BOOST และ Bounce โดยยังคงสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีจากพื้นชั้นกลางที่ค่อนข้างหนา”
“โดยรวมแล้วเป็นรองเท้าวิ่งที่ดีสำหรับนักวิ่งที่จะนำไปใช้วิ่ง Long Tempo หรือ Fast Long Run รวมไปถึงนักวิ่งที่มีระยะทางในการซ้อมต่อสัปดาห์ที่ไม่มาก ที่ต้องการความรู้สึกที่รวดเร็วและคล่องตัวในการฝึกซ้อมประจำวัน”
ซึ่ง Adidas SL20.2 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็วรุ่นเริ่มต้น (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน
โดยชื่อ SL ย่อมาจาก Super Light และ 20 หมายถึงปีที่รองเท้ารุ่นนี้ออกมา คือในปี 2020 ซึ่งในอดีตทางแบรนด์ Adidas เคยนำตระกูล SL ออกมาก่อนแล้วในชื่อรุ่น SL72 ในปี 1972

และ Adidas SL20 รุ่นแรกในปี 2020 เป็นการนำเอาภาพลักษณ์ของตระกูล Adizero Boston มาใช้ แต่ในปี 2021 เป็นต้นมา Adidas SL20.2 จะเป็นการดึงภาพลักษณ์ของรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอนอย่าง Adidas Adizero Pro มาใช้แทน

โดย Adidas SL20.2 จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike ตลอดทั้งพื้น ที่ภายในจะไม่มีการติดตั้งแผ่น Torsion ใดๆ ไว้
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางของแบรนด์ Continental
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas SL20.2 (ในปี 2021)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 238 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 212 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 8 มม. (ปลายเท้าสูง 19 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 4,000 บาท
และในปี 2022 นี้ ทางแบรนด์ Adidas ได้ทำการเปิดตัว Adidas SL20.3 ที่เป็นการปรับปรุงหน้าผ้าใหม่ให้สวมใส่สบายขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีการเปิดตัวสีพิเศษอย่างสี TME (Tinman Elite) อีกด้วย
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas SL20.3 TME (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Engineered Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 246 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 220 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 8 มม. (ปลายเท้าสูง 19 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 4,000 บาท
เสริมเพิ่มเติม
- อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของทีม Tinman Elite คือ Hammer & Axe (⚒) ซึ่งเป็นโปรเจคเกี่ยวกับการเรียนการฝึกซ้อมและวางแผนการวิ่งออนไลน์แบบ 1 ต่อ 1 กับนักวิ่งของทีม Tinman Elite หรือเรียกว่า โค้ชส่วนตัว โดยสนนราคาอยู่ที่ $200 (ประมาณ 6,500 บาท) ต่อเดือน
- โดยในราคานี้ ผู้เรียนจะสามารถเลือกโค้ชหรือนักวิ่งของทีม Tinman Elite คนใดก็ได้ (หากคิวของนักวิ่งคนนั้นยังไม่เต็ม) โดยเขาจะช่วยวางแผนการวิ่งและให้คำปรึกษาแบบ 1 ต่อ 1 และวิดีโอพูดคุยอาทิตย์ละครั้ง รวมทั้งสอบถามข้อมูลผ่านมาอีเมลได้แบบไม่อั้น
- และความหมายของสัญลักษณ์ของ Hammer & Axe คือ ค้อนเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง ความไม่ย่อท้อ และเตรียมพร้อมสำหรับความยากลำบากในการแข่งขัน ซึ่งพวกเราต้องมั่นคงและไว้ใจได้ดุจดั่งค้อน และขวานเป็นตัวแทนของความมั่นใจ ประสิทธิภาพและการพร้อมที่จะแข่งขันในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งพวกเราต้องเฉียบคมดุจดั่งขวาน

Adidas Adizero Boston 10
Adidas Adizero Boston 10 เป็นรองเท้าวิ่งคู่หลักที่ Reed Fischer ใช้ฝึกซ้อมทำความเร็ว
ซึ่งเขากล่าวว่า “ในตอนแรก ผมค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับ Adidas Adizero Boston 10 คู่นี้ ซึ่งรองเท้าวิ่งตระกูล Boston เป็นรองเท้าวิ่งที่ผมใช้ฝึกซ้อมเป็นประจำ ที่ในปีก่อนหน้า มันมีความสูงแค่ครึ่งเดียวของรุ่นนี้ ทำให้ผมกังวลว่าทางแบรนด์ Adidas จะปรับเปลี่ยนมันมากจนเกินไป และโดยปกติแล้วผมไม่ได้ใช้รองเท้าที่หนักแบบนี้ในการฝึกซ้อมทำความเร็ว”
“แต่หลังจากได้ใช้งาน ผมพบว่า Adidas Adizero Boston 10 ยังคงมีหน้าที่ในการใช้งานที่ไม่ต่างจากเดิม ซึ่งพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ให้การตอบสนองและส่งแรงที่ดี สำหรับการฝึกซ้อมในแผนมาราธอนของผม และสิ่งที่สำคัญคือ มันไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บใดๆ ซึ่งต่างจากรองเท้าอย่าง Adizero Adios 6 ที่ค่อนข้างทำให้เท้าล้ากว่า”

“โดยรวม Adidas Adizero Boston 10 เหมาะกับวิ่งแบบ Tempo และ Interval ระยะไกล ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เด้งหรือมีน้ำหนักที่เบา แต่มันยังคงให้ความรู้สึกว่าติดเท้าและวิ่งได้ไวด้วยเทคโนโลยี Energy Rods บริเวณปลายเท้า ที่ทำหน้าที่ช่วยส่งแรงคล้ายกับแผ่นคาร์บอน ซึ่งพูดง่ายๆ ว่า รองเท้าคู่นี้เป็น Adidas Adizero Adios Pro 2 ที่ถูกปรับลดลงมาเพื่อใช้ในการฝึกซ้อม”
และหากอ้างอิงตามข้อมูลการวิ่งจาก Strava ของ Reed Fischer ในช่วงฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout) เพื่อลงแข่งขันมาราธอน เขาจะวิ่งประมาณ 2 – 3 วันต่อสัปดาห์ โดยจะมีทั้ง Interval, Fartlek, Tempo และ Long Progression Run ตัวอย่างเช่น
- การฝึกซ้อมแบบ Interval (วิ่งเป็นเซ็ตแล้วหยุดพัก) มีระยะทางตั้งแต่ 24 – 26 กม. (รวมวอร์มอัพ 40 นาที และคูลดาวน์ 20 นาที) และวิ่งเป็นเซ็ต เช่น 6X1.6 กม. และพักระหว่างรอบละ 2 นาที ความเร็วเพซประมาณ 3:00 – 3:06 นาทีต่อกม.
- การฝึกซ้อมแบบ Fartlek (วิ่งเป็นเซ็ตเร็วสลับช้า) มีระยะทางตั้งแต่ 24 – 26 กม. (รวมวอร์มอัพ 35 นาที และคูลดาวน์ 20 นาที) และวิ่งเร็วสลับช้า โดยที่ไม่มีการพักหยุด เช่น 7X1 กม. ด้วยความเร็วเพซประมาณ 3:00 – 3:06 นาทีต่อกม. และคั่นแต่ละรอบด้วยการวิ่งช้าลงเป็นเวลา 1 นาทีครึ่ง ด้วยความเร็วเพซประมาณ 4:13 – 4:20 นาทีต่อกม.
- การฝึกซ้อมแบบ Tempo (วิ่งยาวต่อเนื่องแบบมีความเร็ว) มีระยะทางตั้งแต่ 29 – 35 กม. ความเร็วเพซประมาณ 3:13 – 3:38 นาทีต่อกม.
- การฝึกซ้อมแบบ Long Progression Run (วิ่งยาวแบบแบ่งเป็นเช็ตและเร็วขึ้นเรื่อยๆ) ตัวอย่างเช่น วิ่ง Long Run เป็น 2 ชั่วโมง สามารถแบ่งได้ดังนี้
- 30 นาทีแรก ด้วยเพซสบาย (Easy) ความเร็วเพซประมาณ 3:57 – 4:38 นาทีต่อกม.
- 30 นาทีต่อมา ด้วยเพซที่เร็วขึ้นพอประมาณ (Moderate) ความเร็วเพซประมาณ 3:37 – 3:43 นาทีต่อกม.
- 30 นาทีหลัง ด้วยเพซที่เร็วขึ้น (Uptempo หรือประมาณเพซวันแข่ง) ความเร็วเพซประมาณ 3:06 – 3:13 นาทีต่อกม.
- 30 นาทีสุดท้าย ด้วยเพซสบาย (Easy) ความเร็วเพซประมาณ 3:57 – 4:38 นาทีต่อกม.
ซึ่งสิ่งที่พิเศษในการซ้อมแบบ Long Progression Run ของ Reed Fischer คือในช่วง Easy และ Moderate เขาจะใช้รองเท้า Adidas Solar Glide 4 หลังจากนั้น เขาจะหยุดเพื่อเปลี่ยนรองเท้าเป็น Adidas Adizero Boston 10 สำหรับทำความเร็ว (Uptempo) ก่อนที่จะเปลี่ยนรองเท้ากลับเป็น Adidas Solar Glide 4 อีกครั้งในช่วงสุดท้าย (Easy)
ในด้านข้อมูลจำเพาะ Adidas Adizero Boston 10 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน และเป็นรองเท้าสำหรับฝึกซ้อมโดยตรงของ Adidas Adizero Adios Pro 2
โดยพื้นชั้นกลางจะประกอบด้วยพื้นโฟม 2 ส่วน คือ พื้นโฟมส่วนบนเป็นวัสดุ Lightstrike Pro และพื้นโฟมส่วนล่างเป็นวัสดุ Lightstrike

และระหว่างพื้นชั้นกลาง 2 ส่วน จะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods บริเวณปลายเท้า ซึ่งใน Adidas Adizero Boston 10 จะเป็นวัสดุใยแก้ว (Glass fiber rods) ที่จะไม่แข็งเท่ากับในรองเท้าสำหรับแข่งขันอย่าง Adidas Adizero Adios Pro 2 ที่เป็นวัสดุคาร์บอน (Carbon-infused rods)
นอกจากนี้ บริเวณส้นเท้าจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนที่มีความยาวตั้งแต่บริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้า เพื่อทำหน้าที่เพิ่มความมั่นคงให้แก่ส้นเท้าและช่วยให้ข้อเท้าอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสมตลอดเส้นทาง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางของแบรนด์ Continental
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Boston 10 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro + Lightstrike
- มาพร้อมกับเทคโนโลยี Energy Rods + Carbon Shank
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 283 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 262 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 8.5 มม. (ปลายเท้าสูง 31 มม. และส้นเท้าสูง 39.5 มม.)
- มีทั้งหน้าเท้าปกติและหน้าเท้ากว้าง
- ราคา: 4,800 บาท
รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)
รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes) เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับใช้ในวันแข่งขันโดยเฉพาะ ที่มีทั้งที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะสั้นในลู่ไปจนถึงระยะมาราธอนบนถนน ซึ่ง Reed Fischer จะกล่าวถึงทั้งหมด 3 คู่ คือ Adidas Adizero Avanti, Adidas Adizero Adios Pro 2.0, และ Adidas Adizero Prime X
ซึ่งทางเราจะอธิบายไปพร้อมกับรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ Adidas ประกอบกันไปด้วย โดยเริ่มจาก
ตระกูลรองเท้าตะปูของแบรนด์ Adidas ในปี 2022
รองเท้าตะปูของแบรนด์ Adidas ในปี 2022 จะมีทั้งหมดอยู่ 7 รุ่น ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
- Adidas Adizero Prime SP สำหรับแข่งขันระยะ 60 เมตร ถึง 200 เมตร
- Adidas Adizero Finesse สำหรับแข่งขันระยะ 200 เมตร ถึง 400 เมตร
- Adidas Sprintstar สำหรับฝึกซ้อมระยะไม่เกิน 400 เมตร
- Adidas Distancestar สำหรับฝึกซ้อมระยะ 400 เมตร ถึง 5,000 เมตร
- Adidas Adizero Ambition สำหรับแข่งขันระยะ 800 เมตร ถึง 1,500 เมตร
- Adidas Adizero Avanti สำหรับแข่งขันระยะ 3,000 ถึง 10,000 เมตร
- Adidas Adizero XCS สำหรับแข่งขันครอสคันทรี่

Adidas Adizero Prime SP
Adidas Adizero Prime SP เป็นรองเท้าวิ่งตะปู (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันกรีฑาระยะ 60 เมตร ถึง 200 เมตร โดยจะมาพร้อมกับแผ่นเพลทวัสดุคาร์บอนผสมไนลอน ที่มีความแข็งเป็นพิเศษ
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Prime SP (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Primeweave
- พื้นชั้นกลาง Nano spike plate
- น้ำหนัก: 119 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $180 (คาดว่าเข้าไทย 5,8xx บาท)
Adidas Adizero Finesse
Adidas Adizero Finesse เป็นรองเท้าวิ่งตะปู (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันกรีฑาระยะ 200 เมตร ถึง 400 เมตร โดยจะมาพร้อมกับแผ่นเพลทแข็งที่มีการออกแบบให้สามารถเข้าโค้งในลู่ยางได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Finesse (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh
- พื้นชั้นกลาง SprintFrame spike plate
- น้ำหนัก: 154 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $110 (คาดว่าเข้าไทย 3,6xx บาท)
Adidas Sprintstar
Adidas Sprintstar เป็นรองเท้าวิ่งตะปูรุ่นเริ่มต้น (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ฝึกซ้อมในระยะไม่เกิน 400 เมตร โดยจะมาพร้อมกับแผ่นเพลทวัสดุ Pebax บริเวณปลายเท้า
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Sprintstar (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Sprintweb
- พื้นชั้นกลาง Pebax Plate บริเวณปลายเท้า
- น้ำหนัก: 157 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $65 (คาดว่าเข้าไทย 2,1xx บาท)
Adidas Distancestar
Adidas Distancestar เป็นรองเท้าวิ่งตะปูรุ่นเริ่มต้น (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ฝึกซ้อมในระยะตั้งแต่ 400 เมตร ถึง 5,000 เมตร โดยจะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง EVA และแผ่นเพลทบริเวณปลายเท้า
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Distancestar (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh
- พื้นชั้นกลาง EVA + Spike plate
- น้ำหนัก: 172 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $65 (คาดว่าเข้าไทย 2,1xx บาท)
Adidas Adizero Ambition
Adidas Adizero Ambition เป็นรองเท้าวิ่งตะปู (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันกรีฑาระยะ 800 เมตร ถึง 1,500 เมตร โดยบริเวณปลายเท้าจะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro และแผ่นเพลทแข็ง
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Ambition (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro + Spike plate
- น้ำหนัก: 164 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $120 (คาดว่าเข้าไทย 3,9xx บาท)
Adidas Adizero Avanti
Reed Fischer กล่าวว่า “ในปีนี้ทางแบรนด์ Adidas เลือกที่จะไม่ใช้พื้นโฟม BOOST ในรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันและเปลี่ยนเป็นพื้นโฟม Lightstrike Pro ซึ่งผมว่ามันเป็นทิศทางที่ดี ที่รองเท้ามีน้ำหนักที่เบาขึ้นและส่งแรงได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม”
“แม้ว่าผมจะชอบพื้นโฟม BOOST ในการฝึกซ้อมประจำวัน เนื่องจากความนุ่มและการรองรับแรงกระแทกที่ดี แต่หากผมต้องการที่จะวิ่งเร็ว โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยมาก พื้นโฟม Lightstrike Pro ก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าสำหรับผม”
“Adidas Adizero Avanti มาพร้อมกับพื้นโฟม Lightstrike Pro ตลอดทั้งพื้น ซึ่งให้ความรู้สึกติดเท้าและเด้งส่งแรง และบริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods โดยเป็นการออกแบบตามลักษณะเท้าของมนุษย์ ที่สามารถเคลื่อนไหวและให้ตัวตามเท้าของเราได้ ซึ่งจะต่างจากแผ่นคาร์บอนปกติ ที่จะไม่ยอมให้ตัวเวลาเข้าโค้งในลู่หรือหักเลี้ยวบนถนน โดยยังคงคุณสมบัติช่วยส่งแรงเหมือนแผ่นคาร์บอน”

“ซึ่ง ณ เวลานี้ ผมยังไม่ได้สวมใส่รองเท้าคู่นี้มากนัก เนื่องจากอยู่ในการฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งขันในระยะมาราธอน แต่ทุกครั้งที่ได้ใส่รองเท้าคู่นี้ มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งและหากต้องวิ่งบนลู่ยาง ผมก็จะเลือกรองเท้าคู่นี้เป็นหลัก”
ในด้านข้อมูลจำเพาะ Adidas Adizero Avanti เป็นรองเท้าวิ่งตะปู (Track Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันกรีฑาระยะไกล (ระยะ 3,000 เมตร, 5,000 เมตร, และ 10,000 เมตร)
โดยจะมาพร้อมกับพื้นโฟม Lightstrike Pro ตลอดทั้งพื้น ที่บริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods ที่ทำมาจากวัสดุใยแก้ว (Glass fiber rods) ซึ่งจะไม่แข็งเท่ากับในรองเท้าสำหรับแข่งขันอย่าง Adidas Adizero Adios Pro 2 ที่เป็นวัสดุคาร์บอน (Carbon-infused rods) เพื่อให้เหมาะกับการแข่งขันในสนามลู่ยางที่ต้องมีการเข้าโค้ง
และทางแบรนด์ Adidas พบว่า ปลายเท้าที่งอตัวและให้ตัวได้เล็กน้อยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งระยะสั้น
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN ที่บริเวณส้นเท้าจะมีการเสริมแถบคาด ซึ่งถูกเรียกว่า “Slinglaunch Heel” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรองเท้าปีนผา เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับและจับบริเวณส้นเท้าได้ดีขึ้น
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Avanti (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro
- มาพร้อมกับเทคโนโลยี Energy Rods
- น้ำหนัก: 159 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $150 (คาดว่าเข้าไทย 5,3xx บาท)
Adidas Adizero XCS
Adidas Adizero XCS เป็นรองเท้าวิ่งตะปูครอสคันทรี่ (Cross-Country Spikes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันครอสคันทรี่โดยเฉพาะ โดยจะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Bounce และแผ่นเพลทวัสดุ TPU บริเวณปลายเท้า
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero XCS (ในปี 2021)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Bounce + TPU spike plate
- น้ำหนัก: 193 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: $65 (คาดว่าเข้าไทย 2,1xx บาท)
ตระกูลรองเท้าวิ่งถนนสำหรับแข่งขันของแบรนด์ Adidas ในปี 2022
รองเท้าวิ่งถนนสำหรับแข่งขันของแบรนด์ Adidas ในปี 2022 จะมีทั้งหมดอยู่ 4 รุ่น ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
- Adidas Adizero Takumi Sen 8 สำหรับแข่งขันระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
- Adidas Adizero Pro สำหรับแข่งขันระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน
- Adidas Adizero Adios Pro 2.0 สำหรับแข่งขันระยะมาราธอน
- Adidas Adizero Prime X สำหรับแข่งขันระยะมาราธอน

Adidas Adizero Takumi Sen 8
Adidas Adizero Takumi Sen 8 เป็นรองเท้าวิ่งถนนสำหรับใส่แข่งขัน (Racing Shoes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะทาง 5 กม. จนถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน
โดย Adidas Adizero Takumi Sen 8 มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ตลอดทั้งพื้น ที่มีความสูงของพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 27 มม. และส้นเท้าสูง 33 มม. ทำให้มี Drop อยู่ที่ 6 มม. ซึ่งเป็น Drop ที่ทางแบรนด์ Adidas พบว่าเหมาะสำหรับการแข่งขันระยะสั้นอย่าง 5 กม. และ 10 กม. มากที่สุด
และบริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods ที่ทำมาจากวัสดุใยแก้ว (Glass fiber rods) ซึ่งจะไม่แข็งเท่ากับในรองเท้าสำหรับแข่งขันอย่าง Adidas Adizero Adios Pro 2 ที่เป็นวัสดุคาร์บอน (Carbon-infused rods)

โดยทางแบรนด์ Adidas ได้อธิบายว่า “การจะดูว่าเทคโนโลยี Energy Rods เป็นวัสดุคาร์บอนหรือไม่ ให้ดูจากสีของ Energy Rods ซึ่งหากเป็นสีอื่นนอกเหนือจากสีดำ แสดงว่า Energy Rods นั้นไม่มีส่วนผสมของคาร์บอน ซึ่งสีดำเกิดจากการผสมคาร์บอนลงไปจนทำให้เกิดสีดำขึ้นตามธรรมชาติ”
และเหตุผลที่ไม่เลือกใช้ Energy Rods ที่เป็นคาร์บอน เนื่องจากไม่ต้องการให้ปลายเท้ามีความแข็งที่มากจนเกินไป ซึ่งทางแบรนด์ Adidas พบว่า “ปลายเท้าที่งอตัวและให้ตัวได้เล็กน้อยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งระยะสั้น แต่การวิ่งในระยะไกลจำเป็นต้องลดความเมื่อยล้าของเท้า ซึ่ง Energy Rods ที่เป็นคาร์บอนจะเหมาะสมกว่า”
นอกจากนี้ บริเวณส้นเท้าจะมีการฝังแผ่นคาร์บอนไว้ด้านใน เพื่อทำหน้าที่เพิ่มความมั่นคงให้แก่ส้นเท้าและช่วยให้ข้อเท้าอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสมตลอดเส้นทาง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN ที่บริเวณส้นเท้าจะมีการเสริมแถบคาด ซึ่งถูกเรียกว่า “Slinglaunch Heel” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรองเท้าปีนผา เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับและจับบริเวณส้นเท้าได้ดีขึ้น
และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางน้ำหนักเบา ที่บริเวณปลายเท้าด้านในจะเสริมด้วยเนื้อยางของแบรนด์ Continental เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้น
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Takumi Sen 8 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Mesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro
- มาพร้อมกับเทคโนโลยี Energy Rods + Carbon Shank
- ดอกยาง Textile rubber + Continental
- น้ำหนัก: 185 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- Offset: 6 มม. (ปลายเท้าสูง 27 มม. และส้นเท้าสูง 33 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 6,500 บาท
Adidas Adizero Pro
Adidas Adizero Pro เป็นรองเท้าวิ่งถนนสำหรับใส่แข่งขัน (Racing Shoes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน
โดยตระกูล Adizero Pro เป็นตระกูลรองเท้าวิ่งเก่าแก่อีกหนึ่งตระกูลที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2006 ในฐานะของรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันในระยะ 5 กม. ถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน ที่ชูจุดเด่นในด้านของการตอบสนองและส่งแรงได้ดี

ก่อนที่ทางแบรนด์ Adidas จะยกเลิกสายการผลิตตระกูล Adizero Pro ไปในช่วงปี 2010 แบบเดียวกับตระกูล Adizero RC ที่ถือได้ว่าเป็นรองเท้าวิ่งในยุคเดียวกัน
และในภายหลังในปี 2020 รองเท้า Adidas Adizero Pro ถูกนำกลับมาผลิตอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ทางแบรนด์ Adidas ได้กลับมาร่วมงานกับปรมาจารย์นักออกแบบรองเท้าชาวญี่ปุ่นอย่างอาจารย์ Yoshitori Omori อีกครั้ง

ซึ่งอาจารย์ Yoshitori Omori ได้ร่วมงานกับทางแบรนด์ Adidas มาตั้งแต่ปี 1999 ในการออกแบบแม่พิมพ์ที่ใช้ขึ้นรูปรองเท้าของรองเท้าวิ่งตระกูล Adizero ด้วยปรัชญาในการออกแบบรองเท้าอย่าง “Inside Out” หรือ “จากภายในสู่ภายนอก”
โดยอาจารย์ Yoshitori Omori เชื่อว่า “ในการออกแบบรองเท้า สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญ คือในเรื่องของลักษณะเท้าหรือกายวิภาคเท้าของนักกีฬา ฉะนั้น แม่พิมพ์ที่ใช้ขึ้นรูปรองเท้าจะต้องถูกสรรค์สร้างและขัดเกลาอย่างละเอียด เพื่อให้รองเท้ากระชับเข้ารูปกับเท้ามากที่สุด”

และการกลับมาครั้งนี้ของ Adidas Adizero Pro ยังได้ถูกนำไปทดสอบและปรับปรุงโดยนักวิ่งหญิงชาวเคนย่าอย่าง Mary Keitany เจ้าของแชมป์ New York City Marathon 4 สมัย (ปี 2014, 2015, 2016, และ 2018) และ London Marathon อีก 3 สมัย (ปี 2011, 2012, และ 2017)
ซึ่ง Mary Keitany ในวัย 37 ปี (ปัจจุบันอายุ 40 ปี และอำลาวงการวิ่งแล้ว) สวมใส่ Adidas Adizero Pro รุ่นใหม่นี้ลงแข่งขัน New York City Marathon ในปี 2019 และจบลงด้วยอันดับที่ 2 (และเป็นอันดับ 1 ในรุ่นอายุ 35 – 39 ปี ของเธอ) ด้วยเวลา 2:23:32 ชั่วโมง

และเธอยังกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างของ Adidas Adizero Pro ทั้งความกระชับ ความสบาย และน้ำหนัก มันราวกับว่ารองเท้าวิ่งคู่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น”
โดย Adidas Adizero Pro ในปี 2020 เป็นการกลับมาในฐานะของรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันในระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอนแทน และในปัจจุบันปี 2022 รองเท้าวิ่งรุ่นนี้ยังคงมีผลิตและวางจำหน่ายอยู่
ซึ่ง Adidas Adizero Pro จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง BOOST ที่ถูกหุ้มกรอบด้วยโฟม Lightstrike และด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่น Torsion บริเวณกลางเท้า และแผ่นคาร์บอนจากแบรนด์ Carbitex ที่มีความยาวตั้งแต่ปลายเท้าถึงส้นเท้า

ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Celermesh แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ บริเวณปลายเท้าที่เป็นดอกยางของแบรนด์ Continental และบริเวณกลางเท้าจะเป็นดอกยางที่ถูกเรียกว่า Quickstripe DPS ซึ่งเป็นดอกยางน้ำหนักเบา และสุดท้ายบริเวณส้นเท้าที่เป็นดอกยาง Adiwear ที่มีความทนทานในการใช้งาน
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Pro (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง BOOST + Lightstrike
- มาพร้อมกับแผ่นคาร์บอน Carbitex และแผ่น Torsion
- ดอกยาง Continental + Quickstripe DPS + Adiwear
- น้ำหนัก: 235 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 218 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- Offset: 10 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 6,500 บาท
Adidas Adizero Adios Pro 2.0
Reed Fischer กล่าวว่า “Adidas Adizero Adios Pro 2.0 เป็นรองเท้าวิ่งที่ผมจะใช้แข่งขันมากที่สุด ทั้งระยะ 10 ไมล์ และระยะมาราธอน ซึ่งผมคิดว่านักวิ่งระดับมือใหม่ไปจนถึงระดับอาชีพน่าจะชื่นชอบ โดยมันให้ความรู้สึกที่ติดเท้าและเด้งกว่ารองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันคู่อื่นในตลาด”
“พื้นชั้นกลางที่หนา ทำให้ขาไม่ล้าจนเกินไป ซึ่งคุณจะยังรู้สึกดีในการวิ่งในระยะมาราธอนและมีแรงเหลือที่จะวิ่งเต็มแรงใน 1 – 2 กม. สุดท้าย และมันยังส่งแรงได้ดี ซึ่งผมพบว่ามีนักวิ่งหลายคนที่เลือกใช้รองเท้าคู่นี้ลงแข่งขันในระยะ 10 ไมล์ และฮาล์ฟมาราธอน”

ในด้านข้อมูลจำเพาะ Adidas Adizero Adios Pro 2.0 เป็นรองเท้าวิ่งถนนสำหรับใส่แข่งขัน (Racing Shoes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะมาราธอน
โดยจะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ตลอดทั้งพื้น ที่บริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods ที่ทำมาจากวัสดุคาร์บอน (Carbon-infused rods) ที่มีความแข็งมากทำให้ช่วยลดความเมื่อยล้าของเท้าในการแข่งขันระยะไกล

นอกจากนี้ บริเวณส้นเท้าจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนที่มีความยาวตั้งแต่บริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้า เพื่อทำหน้าที่เพิ่มความมั่นคงให้แก่ส้นเท้าและช่วยให้ข้อเท้าอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสมตลอดเส้นทาง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางน้ำหนักเบา ที่บริเวณปลายนิ้วเท้าจะเสริมด้วยเนื้อยางของแบรนด์ Continental เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้น
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Adios Pro 2.0 (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro
- มาพร้อมกับเทคโนโลยี Energy Rods + Carbon Shank
- ดอกยาง Textile rubber + Continental
- น้ำหนัก: 215 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- Offset: 8.5 มม. (ปลายเท้าสูง 31 มม. และส้นเท้าสูง 39.5 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 8,000 บาท
Adidas Adizero Prime X
Reed Fischer กล่าวว่า “Adidas Adizero Prime X เป็นรองเท้าวิ่งที่ไม่ผ่านกฎของ World Athletics เนื่องจากพื้นชั้นกลางที่สูงเกินไป ทำให้เป็นรองเท้าวิ่งที่ผมไม่สามารถนำไปใช้แข่งขันได้ แต่สำหรับนักวิ่งทั่วไปสามารถนำรองเท้าวิ่งคู่นี้ไปใช้ได้”
“ซึ่ง Adidas Adizero Prime X เป็นรองเท้าประหลาด ที่ไม่มีรองเท้าวิ่งคู่ไหนในตลาดที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับรองเท้าคู่นี้ มันวิ่งสนุกมาก ซึ่งไม่บ่อยครั้งนัก ที่ผมใช้ แต่เมื่อผมใช้มันวิ่งจ๊อกกิ่ง มันให้ความรู้สึกที่น่าเหลือเชื่อและต่างจาก Adizero Adios Pro 2.0 อย่างมาก”
“โดยรวม หากคุณเป็นนักวิ่งที่ต้องการความได้เปรียบในการแข่งขันมาราธอนในท้องถิ่นหรืองานแข่งที่ไม่ได้มีกฎของ World Athletics รองเท้าวิ่งคู่นี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย”

ในด้านข้อมูลจำเพาะ Adidas Adizero Prime X เป็นรองเท้าวิ่งถนนสำหรับใส่แข่งขัน (Racing Shoes) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้วิ่งในระยะไกลและใช้ทำลายขีดจำกัดเดิมๆ เพื่อสร้างสถิติเวลาใหม่โดยเฉพาะ
ซึ่งทางทีมออกแบบของแบรนด์ Adidas ได้อธิบายถึงวัตถุประสงค์ของรองเท้าคู่นี้ไว้ว่า “Adidas Adizero Prime X เป็นรองเท้าวิ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักวิ่งมือใหม่สามารถจบการแข่งขันมาราธอนแรกของพวกเขาได้ หรือต้องการทำเวลาที่ดี เพื่อนำไปใช้สมัครรายการแข่งขันใหญ่ๆ อย่าง Boston Marathon หรือใช้ทำลายสถิติเวลา Sub 3 ชั่วโมง และ Sub 2 ชั่วโมงครึ่ง”
“อะไรก็ตามที่คุณคิดว่าไม่สามารถเป็นไปได้ รองเท้าคู่นี้สามารถทำมันได้ รวมไปถึงการนำไปใช้ฝึกซ้อม ที่จะทำให้ขาและเท้าไม่ล้าจนเกินไป และหากคุณเป็นนักกีฬาอาชีพ รองเท้าคู่นี้ก็สามารถนำไปใช้วิ่งฝึกซ้อมระยะไกลมากๆ ได้”

โดย Adidas Adizero Prime X จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ตลอดทั้งพื้น ที่มีความสูงบริเวณปลายเท้าถึง 41.5 มม. และส้นเท้าสูง 50 มม. (Drop: 8.5 มม.) และบริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Energy Rods ที่ทำมาจากวัสดุคาร์บอน (Carbon-infused rods) และเสริมด้วยเทคโนโลยี Energyblades สามเส้นที่วางอยู่ด้านล่าง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรงให้มากที่สุด
นอกจากนี้ บริเวณส้นเท้าจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนที่มีความยาวตั้งแต่บริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้า เพื่อทำหน้าที่เพิ่มความมั่นคงให้แก่ส้นเท้าและช่วยให้ข้อเท้าอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสมตลอดเส้นทาง
ในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN ที่บริเวณส้นเท้าจะมีการเสริมแถบคาด ซึ่งถูกเรียกว่า “Slinglaunch Heel” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรองเท้าปีนผา เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับและจับบริเวณส้นเท้าได้ดีขึ้น
และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมดอกยางของแบรนด์ Continental ตลอดทั้งพื้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นและความทนทานในการใช้งาน
ข้อมูลจำเพาะของ Adidas Adizero Prime X (ในปี 2022)
- หน้าผ้า Celermesh 2.0 แบบ PRIMEGREEN
- พื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro
- มาพร้อมกับเทคโนโลยี Energy Rods + Energyblades + Carbon Shank
- ดอกยาง Continental
- น้ำหนัก: 251 กรัม ในไซส์ 9US ชาย
- Offset: 8.5 มม. (ปลายเท้าสูง 41.5 มม. และส้นเท้าสูง 50 มม.)
- มีเฉพาะหน้าเท้าปกติ
- ราคา: 9,400 บาท
สรุปรองเท้าวิ่งถนนของแบรนด์ Adidas ที่ Reed Fischer ใช้งาน
Reed Fischer สรุปการใช้งานรองเท้าวิ่งของเขาสำหรับการฝึกซ้อมและแข่งขันในระยะมาราธอนไว้ดังนี้
- Adidas Solar Glide 4 สำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes)
- Adidas Adizero Boston 10 สำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes)
- Adidas Adizero Adios Pro 2.0 สำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)
นอกจากนี้ เขายังแนะนำการใช้รองเท้าวิ่งของนักกรีฑาระดับมัธยมปลายที่มีระยะทางในการซ้อมต่อสัปดาห์ที่ไม่มากและเน้นไปที่การทำความเร็วเป็นหลักไว้ดังนี้
- Adidas Supernova สำหรับฝึกซ้อมประจำวัน (Training Shoes)
- Adidas Adizero Adios 6 สำหรับฝึกซ้อมทำความเร็ว (Workout Shoes)
- Adidas Adizero Avanti สำหรับแข่งขัน (Racing Shoes) ในลู่ยาง
และนี่คือทั้งหมดของ คัมภีร์รองเท้าวิ่งถนนแบรนด์ Adidas ปี 2021 – 2022 ฉบับทีม Tinman Elite ซึ่งหากมีรุ่นใหม่ออกมา ทางเราจะมาอัพเดทให้ทราบกันอีกทีนะครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles