วันนี้เรามารีวิวรองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 รองเท้าวิ่งที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดการลงเท้าอย่างเป็นธรรมชาติ (Natural Stride) ซึ่งถือเป็นรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Minimalist โดยรองเท้าวิ่งคู่นี้จะน่าสนใจและเหมาะกับการใช้งานอะไร รวมทั้งประโยชน์และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist เชิญติดตามได้เลยครับ

ความรู้เพิ่มเติม
- ภายในปี 2022 นี้ เราจะได้เห็นทางแบรนด์ Decathlon ได้มีการเริ่มปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยเป็นการเข้าสู่อุปกรณ์กีฬาประสิทธิภาพสูงที่มีการวิจัยและทดสอบจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ โดยยังคงไม่ละทิ้งภาพลักษณ์ของอุปกรณ์กีฬาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
- เพื่อเป็นการสอดคล้องกับการประกาศร่วมมือกันอย่างเป็นทางการกับรายการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 Olympic และ Paralympic ที่จะถูกจัดขึ้นในปี 2024 ในการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพการกีฬาให้กับทุกคน ภายใต้แนวคิด “การออกกำลังกายในทุกวัน คือ หัวใจของฝรั่งเศส”
- ทำให้โลโก้แบรนด์ Decathlon มีการถูกปรับเปลี่ยนใหม่ในรอบ 31 ปี ให้มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจะมีการออกแบบเป็นตัวอักษร D ที่มีขีด — อยู่ด้านล่าง ซึ่งหากอิงอ้างความหมายตามที่ Decathlon สาขาประเทศจีนให้ไว้จะสามารถอธิบายได้ดังรูปต่อไปนี้

ประโยชน์และข้อเท็จจริงของรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist
รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist เป็นรองเท้าวิ่งประเภทหนึ่งที่เคยโด่งดังและเป็นกระแสนิยมในช่วงปี 2011 ถึง 2012 โดยเป็นรองเท้าวิ่งที่ตั้งอยู่บนแนวคิดการวิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ (Natural Running) ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากการวิ่งด้วยเท้าเปล่า (Barefoot Running)

โดยแนวคิดการวิ่งด้วยเท้าเปล่าเป็นแนวคิดที่ว่า การไม่ใส่รองเท้าวิ่งจะทำให้ร่างกายของมนุษย์วิ่งและลงเท้าได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยจะมีการลงเท้าเฉพาะบริเวณปลายเท้าไปจนถึงกลางเท้า แทนที่การวิ่งลงบริเวณส้นเท้า รวมทั้งแนวคิดนี้ยังรวมไปถึงความเชื่อที่ว่า ร่างกายของมนุษย์เราคือเครื่องจักรที่วิเศษที่สุด ดังนั้น การรับแรงกระแทกด้วยเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะสามารถลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้
ซึ่งแนวคิดนี้นำไปสู่วัตถุประสงค์แรกเริ่มของรองเท้าในอดีต คือ มีไว้เพื่อปกป้องเท้าของมนุษย์จากของมีคมบนพื้นถนนเท่านั้น โดยที่ตัวรองเท้าจะต้องเป็นหนึ่งเดียวและสอดคล้องไปกับลักษณะการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของเท้ามนุษย์
และตัวชี้วัดที่ใช้บ่งบอกการเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist หรือรองเท้าวิ่งที่เข้าใกล้การวิ่งด้วยเท้าเปล่าสามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้ผ่าน “เกณฑ์การวัดค่าความเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist” หรือ “Minimalist Index”

ซึ่ง Minimalist Index (MI) ถูกจัดทำขึ้นในปี 2015 โดยกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Laval University มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศแคนาดา ที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ 42 คน จาก 11 ประเทศ ในการกำหนดนิยามอย่างเป็นทางการของรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ซึ่งเกณฑ์นี้จะถือเป็นเกณฑ์การให้คะแนนที่เป็นทางการและมีความน่าเชื่อถือที่สุดที่ใช้บ่งบอกระดับความเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist
โดยค่า Minimalist Index จะมีคะแนนระหว่าง 0 – 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีความหมายดังนี้
- คะแนน Minimalist Index ที่เข้าใกล้ 100 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง มีความเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist มาก หรือเข้าใกล้การวิ่งด้วยเท้าเปล่า
- คะแนน Minimalist Index ที่เข้าใกล้ 0 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง มีความเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist น้อย หรือเป็นรองเท้าวิ่งพื้นหนาประเภท Maximalist

และเกณฑ์ที่ใช้วัดคะแนน Minimalist Index จะประกอบไปด้วย 6 เกณฑ์หลัก ดังนี้
- น้ำหนัก (Weight)
- ความสูงของพื้นบริเวณส้นเท้า (Heel Thickness)
- Drop ของรองเท้า (Heel to Toe Drop)
- เทคโนโลยีต่างๆ ของรองเท้า เช่น การแก้เท้าล้ม หรือเสริม Heel Counter (Technologies)
- ความยืดหยุ่นตามแนวยาวของรองเท้า (Longitudinal Flexibility)
- ความยืดหยุ่นตามแนวขวางของรองเท้า (Torsional Flexibility)
ซึ่งแต่ละเกณฑ์จะมีการให้คะแนนที่แตกต่างกัน และท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับการวัดคะแนน Minimalist Index สามารถเข้าไปทดลองที่โปรแกรมคำนวณสำเร็จรูปบนเว็บไซส์ The Running Clinic ได้ที่นี่เลยครับ
และสิ่งที่ถูกให้ความสนใจและเป็นเรื่องที่รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือในเรื่องของ Drop ที่ต่ำในรองเท้าและพื้นบริเวณส้นเท้าที่ต้องอยู่ใกล้กับพื้นถนน เนื่องจากเป็นลักษณะการวางเท้าที่ใกล้เคียงกับการวางเท้าตามธรรมชาติของมนุษย์

โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Drop ที่ต่ำในรองเท้าวิ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับลักษณะการลงเท้าจากมหาวิทยาลัย Western Sydney University ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2016 ในหัวข้อว่า “Relationship between foot strike pattern, running speed, and footwear condition in recreational distance runners” หรือ “ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะการลงเท้า ความเร็วในการวิ่ง และประเภทรองเท้าในนักวิ่งสันทนาการทั่วไป” พบว่า
“นักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist มีแนวโน้มที่จะลงเท้าบริเวณปลายเท้าเพิ่มขึ้น 9.2 เท่า เมื่อเทียบกับนักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่งปกติ แต่อย่างไรก็ตาม 70 เปอร์เซ็นต์ของนักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist จะกลับมาลงเท้าที่บริเวณส้นเท้าเหมือนเดิม” – Cheung et al. 2016
ฉะนั้น Drop ที่ต่ำของรองเท้าวิ่งจะมีผลช่วยส่งเสริมการลงเท้าบริเวณปลายเท้าและกลางเท้า แต่อย่างไรก็ตาม การสวมใส่รองเท้าวิ่ง Minimalist หรือรองเท้าวิ่ง Drop 0 มม. ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่านักวิ่งจะวิ่งลงเท้าบริเวณปลายเท้าเสมอไป

นอกจากนี้ Drop ของรองเท้าวิ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อข้อต่อ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่แตกต่างกัน
โดย Drop ของรองเท้าวิ่งที่ต่ำจะทำให้ข้อเท้ามีการงอตัวที่มากขึ้นขณะลงเท้า ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อน่อง เอ็นร้อยหวายและเท้าที่มากขึ้น ในขณะที่ Drop ของรองเท้าวิ่งที่สูงจะทำให้หัวเข่ามีการงอตัวที่มากขึ้นขณะลงเท้าแทน ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานของหัวเข่าและสะโพก
ทำให้ประโยชน์ในเรื่องของ Drop ที่ต่ำในรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist มักจะถูกอ้างอิงในด้านของการลดความเครียดสะสมที่บริเวณหัวเข่าและสะโพก โดยเป็นการเปลี่ยนถ่ายแรงที่จะกระทำที่บริเวณหัวเข่าและสะโพกไปยังบริเวณกล้ามเนื้อน่อง เอ็นร้อยหวาย และเท้าแทน

โดยงานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2022 เกี่ยวกับ Drop ของรองเท้าวิ่งจากมหาวิทยาลัย Beijing Sport University ประเทศจีน ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากแบรนด์ Peak Sports ในหัวข้อว่า “The effect of heel-to-toe drop of running shoes on patellofemoral joint stress during running“ หรือ “ผลกระทบของ Drop ของรองเท้าวิ่งที่มีผลต่อลูกสะบ้าข้อเข่าขณะวิ่ง”
ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ทำการศึกษา Drop ของรองเท้าวิ่งที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น Drop 15 มม., 10 มม., และ 5 มม. แล้วนำมาเทียบกับ Drop 0 มม. เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบทางกายของนักวิ่งขณะวิ่ง โดยทีมนักวิจัยพบว่า
“นักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่งที่มี Drop สูง 15 มม., 10 มม., และ 5 มม. จะมีการงอและยืดตัวของเข่าที่เพิ่มขึ้นกว่านักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่ง Drop 0 มม. แต่จะมีผลให้เกิดความเครียดสะสม ณ บริเวณลูกสะบ้าข้อเข่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเฉพาะกับรองเท้าวิ่งที่มี Drop 15 มม. และ 10 มม. เท่านั้น โดยจะมีความเครียดสะสมเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรองเท้าวิ่ง Drop 0 มม.”
ทำให้ทีมนักวิจัยสรุปผลการวิจัยว่า นักวิ่งที่สวมใส่รองเท้าวิ่งที่มี Drop เกิน 5 มม. จะส่งผลให้หัวเข่ามีความเครียดสะสมที่เพิ่มขึ้น หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ Drop 0 มม. ถึง 5 มม. มีความเครียดสะสมที่บริเวณหัวเข่าที่เท่ากัน

ซึ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมรองเท้าวิ่งแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการให้การวิ่งมีความเป็นธรรมชาติถึงได้เลือกใช้ Drop 4 มม. ถึง 5 มม. แทนที่ Drop 0 มม. เนื่องจากไม่ว่าจะมี Drop 0 มม. หรือ 4 มม. ต่างก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกันและมีผลกระทบต่อความเครียดสะสมที่บริเวณหัวเข่าที่เท่ากัน
แต่นักวิ่งส่วนใหญ่สามารถปรับตัวให้เข้ากับรองเท้าวิ่งที่มี Drop 4 มม. ถึง 5 มม. ได้ง่ายกว่าและเข้ากับการนำไปหมุนเวียนเพื่อฝึกซ้อมกับรองเท้าวิ่งประเภทต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มี Drop ที่สูง
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน งานวิจัยต่างๆ ยังไม่มีการค้นพบว่า Drop ของรองเท้าวิ่งจะส่งผลต่ออาการบาดเจ็บในการวิ่ง และ Drop ของรองเท้าวิ่งที่ต่ำก็ไม่ได้หมายความว่าหัวเข่าจะไม่ทำงานหรือไม่มีความเครียดสะสม เพียงแต่ความเครียดสะสมจะน้อยกว่าเท่านั้น

รวมไปถึงอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าไม่ได้เกิดขึ้นจากความเครียดสะสมที่บริเวณหัวเข่าเพียงปัจจัยเดียว ซึ่งอาจจะมีทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่นที่แตกต่างกันของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในนักวิ่งแต่ละบุคคล
หรืออาจจะเกิดขึ้นจากความไม่สมดุลของเท้า ที่ทำให้ข้อเท้าไม่อยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสม จนทำให้ข้อเข่ามีการบิดตัวที่ผิดไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งต้องแก้ไขโดยการเสริมโฟมให้ซัพพอร์ตเท้า เพื่อให้เท้าและข้อเท้ากลับมาอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสม ซึ่งกรณีนี้ Drop ของรองเท้าวิ่งไม่ได้มีส่วนช่วยใดๆ

และสิ่งที่สำคัญมากกว่า Drop ของรองเท้าวิ่ง และเป็นสิ่งที่แบรนด์รองเท้าวิ่งยักษ์ใหญ่ต่างๆ ณ ปัจจุบันให้ความสำคัญในการออกแบบรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist คือ ในด้านของความยืดหยุ่นของพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้า ที่ต้องสามารถงอและให้ตัวตามการเคลื่อนไหวของเท้า
ซึ่งคุณสมบัตินี้จะนำไปสู่ประโยชน์หลักที่ทำให้รองเท้าวิ่งประเภทนี้ยังคงถูกใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน คือ การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเท้าและเส้นเอ็น และช่วยให้เท้าได้ทำงานและเคลื่อนไหวตามแบบธรรมชาติ

โดยพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้าที่สามารถให้ตัวได้ เมื่อประกอบกับความบางและความเฟิร์มของพื้นชั้นกลางจะทำให้เท้าและขามีภาระในการรับแรงที่เพิ่มมากขึ้น จากการที่โฟมช่วยรองรับแรงกระแทกได้น้อยลงและไม่มีองศา Rocker เข้ามาช่วย
ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของทั้งเท้าไปจนถึงขาทุกส่วนถูกใช้งานมากขึ้นและจะแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ต่างจากการฝึกความแข็งแรงของเท้าและขาโดยตรง (Foot/Leg strengthening exercises)
และเมื่อวัตถุประสงค์ของรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ในปัจจุบันมีเพียงการนำไปใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งของขาและเท้า และให้เท้าได้เคลื่อนตามแบบธรรมชาติเท่านั้น ทำให้รองเท้าวิ่งประเภทนี้ต้องง่ายต่อการนำไปหมุนเวียนกับรองเท้าวิ่ง Drop สูง ที่เป็นรองเท้าวิ่งหลักในการฝึกซ้อมและแข่งขัน
ทำให้ตั้งแต่ปี 2018 รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ของแบรนด์ Salomon อย่างตระกูล Predict จะมี Drop อยู่ที่ 6 – 8 มม. และแบรนด์ Nike อย่างรุ่น Nike Free Run 5.0 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดในปี 2021 ก็ถูกปรับ Drop ขึ้นมาอยู่ที่ 8 มม. เช่นกัน รวมไปถึง Nike Flex Run 2021 ก็มี Drop อยู่ที่ 7 มม.

ซึ่งในด้านของการใช้งาน รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ที่มี Drop สูง (4 มม. – 8 มม.) จะเหมาะกับนักวิ่งที่ใช้งานรองเท้าวิ่งคู่หลักที่มี Drop สูง (4 มม. ขึ้นไป)
แต่สำหรับนักวิ่งที่ใช้งานรองเท้าวิ่ง Drop ต่ำ (0 มม. – 4 มม.) เป็นรองเท้าวิ่งคู่หลัก ก็จะเหมาะกับรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ที่มี Drop ต่ำ (0 มม. – 4 มม.) โดยการเลือกลักษณะนี้จะทำให้นักวิ่งไม่ต้องมีการปรับตัวมาก หรือไม่ทำให้ท่าทางในการวิ่งผิดไปจากเดิมจนเกินไป และ Drop 4 มม. ถึง 5 มม. จะเป็น Drop ที่มีความเป็นกลาง ซึ่งสามารถนำใช้งานได้กับทั้งนักวิ่งสองกลุ่ม

นอกจากนี้ สำหรับรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ที่เข้าใกล้การวิ่งด้วยเท้าเปล่ามากๆ อาจจะไม่เหมาะสำหรับนักวิ่งทุกคน โดยเฉพาะกับนักวิ่งที่มีอายุ ที่เส้นเอ็นต่างๆ จะมีความยืดหยุ่นที่ลดลง รวมไปถึงกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ภายในร่างกายที่รับแรงกระแทกและมีความทนทานในการออกกำลังกายที่น้อยลง ทำให้รองเท้าวิ่งที่มีการซัพพอร์ตที่มั่นคงและรองรับแรงกระแทกได้ดีในกลุ่ม Maximalist จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับนักวิ่งที่มีอายุ
ฉะนั้น ประโยชน์ของรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist จะมีอยู่เฉพาะกลุ่มและเป็นแบบเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะกับนักวิ่งวัยรุ่นที่มีความฟิต สุขภาพดีและร่างกายมีความยืดหยุ่น ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของเท้าและขาเพิ่มเติม รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการนำมาหมุนเวียนในการฝึกซ้อม

ข้อมูลและการออกแบบของ Decathlon Kiprun KN500
รองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 ถูกเปิดตัวและวางจำหน่ายครั้งแรกในช่วงปลายปี 2021 ซึ่งชื่อซีรีส์ KN ย่อมาจาก “Kiprun Natural stride” โดยมีความหมายว่า “การลงเท้าอย่างเป็นธรรมชาติ”

ซึ่งทางแบรนด์ Decathlon ตั้งใจออกแบบรองเท้าวิ่งรุ่นนี้ เพื่อให้นักวิ่งสามารถเข้าใกล้และสัมผัสถึงความรู้สึกของการลงเท้าอย่างเป็นธรรมชาติในการวิ่งที่มากขึ้นกว่าในรองเท้าวิ่งปกติ
โดย Nicolas FLORES วิศวกรในแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D Engineer) จาก Decathlon SportsLab ได้กำหนดนิยามในการออกแบบรองเท้าวิ่งคู่นี้ให้ใกล้เคียงกับเกณฑ์ Minimalist Index ซึ่งมีดังนี้
- ออกแบบใกล้เคียงวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของรองเท้าในอดีต คือ มีไว้เพื่อปกป้องเท้าจากของมีคมบนพื้นถนนเท่านั้น
- มีน้ำหนักที่เบาจนให้ความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเท้า
- พื้นชั้นกลางมีความยืดหยุ่นและสามารถงอและให้ตัวที่สอดคล้องไปกับการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของเท้ามนุษย์
- มี Drop ของรองเท้าที่ต่ำ และพื้นบริเวณส้นเท้าต้องอยู่ใกล้กับพื้นถนน ซึ่งเป็นลักษณะการวางเท้าที่ใกล้เคียงกับการวางเท้าตามธรรมชาติของมนุษย์

นอกจากนี้ ทางทีมออกแบบจะยังคงไม่ละทิ้งความเป็นรองเท้าวิ่งที่มีการซัพพอร์ตและการรองรับแรงกระแทก ทำให้รองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางวัสดุ EVA ที่มีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 20 มม. และส้นเท้าสูง 24 มม. (Drop 4 มม.) ซึ่งเป็นการวัดตามกฎของ World Athletic (รวมดอกยางและแผ่นรองรองเท้า)
และพื้นชั้นกลางเฉพาะบริเวณปลายเท้าจะมีการผ่าแบ่งพื้นให้บริเวณปลายเท้าสามารถงอและให้ตัวไปกับการเคลื่อนไหวของเท้าของนักวิ่ง โดยที่บริเวณกลางเท้าและส้นเท้าจะยังคงความเสถียรและมั่นคง ซึ่งไม่ยืดหยุ่นหรือบิดตัวได้ทุกส่วนเหมือนกับรองเท้าวิ่ง Minimalist ในกลุ่มที่เข้าใกล้การวิ่งด้วยเท้าเปล่า

และในส่วนของหน้าผ้ามีการใช้เป็นเนื้อผ้า Sandwich Mesh ที่สามารถระบายอากาศได้ดีและมีความนุ่ม และบริเวณลิ้นรองเท้าและขอบบริเวณข้อเท้าจะใช้เป็นเนื้อผ้า Knit ยืด ที่สามารถเข้ารูปกับเท้าของนักวิ่ง รวมทั้งทางทีมออกแบบจะยังคงติดตั้ง Heel Counter แบบพลาสติกแข็งภายในมาให้ ทำให้บริเวณส้นเท้าของนักวิ่งจะมีความมั่นคง ไม่บิดไปมาได้ง่าย
โดยทั้งจากการออกแบบพื้นชั้นกลางและหน้าผ้าของรองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 ทำให้รองเท้าวิ่งคู่นี้ได้รับคะแนน Minimalist Index อย่างเป็นทางการอยู่ที่ 54 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากเทียบกับรองเท้าวิ่งปกติส่วนใหญ่จะได้รับคะแนนอยู่ที่ 16 – 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เสริมเพิ่มเติม จากการคำนวณโดยประมาณบนเว็บไซต์ The Running Clinic รองเท้าวิ่ง Nike Free Run 5.0 ปี 2021 จะได้รับคะแนนอยู่ที่ 56 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลจำเพาะของ Decathlon Kiprun KN500
- น้ำหนัก: 238 กรัม ในไซส์ 42EU ชาย และ 197 กรัม ในไซส์ 38EU หญิง
- น้ำหนักชั่งจริง: 266 กรัม ในไซส์ 44.5EU ชาย
- Offset: 4 มม. (ปลายเท้าสูง 20 มม. และส้นเท้าสูง 24 มม.)
- ความกว้างหน้าเท้าแบบปกติ
- ราคา: 2,000 บาท
และทางแบรนด์ Decathlon ได้มีการแนะนำให้นักวิ่งใช้รองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 อย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็น 2 ส่วน โดยวอร์มอัพด้วยรองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 และฝึกซ้อมหลักด้วยรองเท้าวิ่งคู่หลัก เพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคุ้นเคยกับรองเท้าก่อน เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอาบาดเจ็บจากการวิ่ง

และหลังจากทราบข้อมูลและการออกแบบของ Decathlon Kiprun KN500 กันไปแล้ว เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งานของ Decathlon Kiprun KN500 กันนะครับ
รีวิวความคิดเห็นหลังใช้งาน Decathlon Kiprun KN500

และการรีวิว Decathlon Kiprun KN500 ในครั้งนี้จะสามารถแบ่งประเด็นได้ดังนี้
หน้าผ้า (Upper)

หน้าผ้าของ Decathlon Kiprun KN500 มาพร้อมกับเนื้อผ้า Sandwich Mesh ที่สามารถระบายอากาศได้ดีและให้ผิวสัมผัสที่เรียบลื่นและมีความนุ่ม คล้ายกับสวมใส่ถุงเท้า
ความรู้เพิ่มเติม เนื้อผ้าแบบ Sandwich Mesh หรือที่ชาวไทยคุ้นหูกันในชื่อของ Air Mesh เป็นผ้าตาข่ายที่ประกอบไปด้วย 3 ชั้น คือ เนื้อผ้าด้านบน เส้นใยตรงกลาง และเนื้อผ้าด้านล่าง โดยคุณสมบัติเด่นของเนื้อผ้าชนิดนี้คือ ความนุ่มและความทนทานในใช้งาน


และบริเวณลิ้นรองเท้าและขอบบริเวณข้อเท้าจะใช้เป็นเนื้อผ้า Knit ยืด ที่สามารถเข้ารูปกับเท้าของนักวิ่งและจะไม่มีการบุฟองน้ำใดๆ และในส่วนของ Heel Counter จะเป็นพลาสติกแข็งรอบบริเวณส้นเท้า

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ หน้าผ้าของ Decathlon Kiprun KN500 เป็นหน้าผ้าที่สวมใส่สบาย ในแง่ของความนุ่มและผิวสัมผัสของเนื้อผ้า และเป็นหน้าผ้าที่สามารถระบายอากาศและน้ำได้ดี รวมไปถึงขอบบริเวณข้อเท้าที่เป็นเนื้อผ้า Knit ยืด ทำให้สามารถสวมใส่ได้ง่าย รวดเร็วและสะดวกเป็นอย่างมาก
และหน้าผ้าของรองเท้าวิ่งรุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้มีความกว้างและความสูงของบริเวณหลังเท้าที่กว้างและสูงมากเป็นพิเศษ ทำให้นักวิ่งที่เท้าเรียวและผอมจะรู้สึกว่าหน้าผ้าไม่กระชับกับเท้า และต้องมัดเชือกแน่นขึ้น และด้วยความที่รองเท้าวิ่งรุ่นนี้ไม่มีการบุฟองน้ำใดๆ ที่บริเวณลิ้นรองเท้า ส่งผลให้หากมัดเชือกแน่นเกินไป เชือกจะมีอาการกดและรัดบริเวณหลังเท้าได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักวิ่งเท้าเรียวเท่านั้น ซึ่งทางเราได้ให้นักวิ่งหน้าเท้ากว้าง หลังเท้าสูงและเท้ามีเนื้อทดสอบแล้ว ไม่มีอาการกดและรัดบริเวณหลังเท้า รวมไปถึงหน้าผ้ามีความกระชับและจับเท้าได้เป็นอย่างดี
ในส่วนการเลือกไซส์ของ Decathlon Kiprun KN500 ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่ตรงไซส์ โดยไซส์ 44.5EU ของแบรนด์ Decathlon จะมีความยาวเท่ากับไซส์ 10.5US ของแบรนด์ Adidas และ Reebok ซึ่งนักวิ่งหน้าเท้ากว้างและหลังเท้าสูงสามารถสวมใส่ตรงไซส์ได้เลย และในส่วนของนักวิ่งเท้าเรียวแนะนำให้ต้องลองสวมใส่ดูก่อนและอาจจะต้องมีการลดลงจากเดิมประมาณ 0.5 ไซส์

พื้นชั้นกลาง (Midsole)

ในส่วนพื้นชั้นกลางของ Decathlon Kiprun KN500 มาพร้อมกับพื้นชั้นกลางวัสดุ EVA ที่มีความเฟิร์มและบาง และมีการเซาะร่องและผ่าแบ่งพื้น โดยเฉพาะบริเวณปลายเท้าที่มีการผ่าและเซาะร่องที่มากที่สุด ทำให้บริเวณปลายเท้าของนักวิ่งสามารถงอและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
และพื้นชั้นกลางบริเวณกลางเท้าและส้นเท้าที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า ประกอบกับความกว้างของฐานของพื้นชั้นกลาง จะทำให้เท้าของนักวิ่งมีความเสถียรและมั่นคงอยู่ในแนวระนาบที่เหมาะสม ไม่ล้มหรือพลิกไปมา

ในด้านความนุ่มที่วัดได้จากบริเวณผิวด้านข้างของพื้นชั้นกลาง มีดังนี้
รุ่น | ค่าความนุ่ม (Durometer Shore C: HC) | ระดับความนุ่ม |
Decathlon Kiprun KN500 | 50 – 55 | เฟิร์ม |
หมายเหตุ:
- วิธีการอ่านค่า Durometer Shore C คือ ยิ่งตัวเลขน้อย พื้นโฟมจะยิ่งนุ่ม และตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเฟิร์ม
- ระดับความนุ่มแบ่งเป็น นุ่มมาก (30-35 HC) ➞ นุ่ม (35-40 HC) ➞ นุ่มน้อย (40-50 HC)
- ระดับความเฟิร์มแบ่งเป็น เฟิร์ม (50-60 HC) ➞ เฟิร์มมาก (60-70 HC)

และพื้นชั้นกลางเฉพาะเนื้อโฟมจะมีความสูงอยู่ที่บริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 12 มม. และส้นเท้าสูง 16 มม. (Drop 4 มม.)
และในส่วนความสูงของพื้นชั้นกลางเมื่อวัดตามกฎของ World Athletic (รวมดอกยางและแผ่นรองรองเท้า) จะมีความสูงบริเวณปลายเท้า 20 มม. และส้นเท้าสูง 24 มม. (Drop: 4 มม.)

และความกว้างฐานของรองเท้าบริเวณปลายเท้าจะมีความกว้างอยู่ที่ 12.4 ซม. และบริเวณส้นเท้ากว้าง 9.7 ซม. ในไซส์ 44.5EU ชาย
ในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (Insole) จะมาพร้อมกับแผ่นรองวัสดุ Open Cell PU คล้ายกับแผ่นรองจากแบรนด์ OrthoLite ที่มีความหนาอยู่ที่ 4 มม. ที่ให้ความนุ่มและช่วยดูดซับความชื้น

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ พื้นชั้นกลางของ Decathlon Kiprun KN500 ให้ความรู้สึกที่เฟิร์ม แน่น และสามารถวิ่งยันตัวส่งแรงได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ความรู้สึกที่ขาและเท้ารับแรงกระแทกที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลังจากฝึกซ้อมจะรู้สึกเมื่อยและล้าตามที่คาดหวังไว้ได้เป็นอย่างดี
และโดยรวมพื้นชั้นกลางไม่ได้เฟิร์มหรือแข็งจนไม่รองรับแรงกระแทก ซึ่งพื้นชั้นกลางจะยังคงสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีในระดับหนึ่ง ที่ทำให้ขาและเท้าไม่ล้าและบาดเจ็บมากจนเกินไป และนักวิ่งที่มีความแข็งแรงสามารถสวมใส่รองเท้าวิ่งคู่นี้โดยไม่ต้องมีการปรับตัวใดๆ

รวมไปถึงพื้นชั้นกลางที่มีความเสถียรและมั่นคงเป็นอย่างมาก ทำให้เหมาะเป็นอย่างมากกับการใช้ฝึกซ้อมพิเศษ เช่น การฝึก Drills และการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเฉพาะส่วน รวมทั้งใช้วอร์มอัพและคูลดาวน์ก่อนและหลังวิ่ง เพื่อคลายและยืดกล้ามเนื้อ โดยไม่ต้องกังวลว่าข้อเท้าจะพลิก

ดอกยาง (Outsole)

Decathlon Kiprun KN500 มีการติดตั้งดอกยางมาให้ทั่วทั้งพื้น ซึ่งวัสดุเนื้อยางที่ใช้จะถูกแบ่งออกเป็นเนื้อยาง 2 ประเภท คือ
- เนื้อยางที่เน้นการยึดเกาะพื้น (สีเขียวเข้มมีลาย) ซึ่งจะติดตั้งอยู่บริเวณปลายเท้า, บริเวณปลายนิ้วเท้าด้านใน, และบริเวณขอบด้านข้างของบริเวณส้นเท้า โดยมีลักษณะเป็นดอกยางที่มีความเหนียวและยึดเกาะพื้นได้ดีมาก
- เนื้อยางที่เน้นความทนทานและน้ำหนักเบา (สีเขียวสว่างไม่มีลาย) ซึ่งจะติดตั้งอยู่บริเวณกลางเท้า, บริเวณปลายเท้าด้านนอก, และบริเวณกลางของส้นเท้า โดยมีลักษณะเป็นดอกยางที่แข็งและทนทาน ทำให้ต้องมีการใช้งานสักระยะเพื่อเปิดผิวเนื้อยาง ซึ่งจะทำให้ดอกยางในส่วนนี้เกาะพื้นได้ดีมากขึ้น

ในด้านประสิทธิภาพของการยึดเกาะพื้นของเนื้อดอกยาง สามารถแบ่งได้ดังนี้
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง ดอกยางของ Decathlon Kiprun KN500 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 39 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่แห้งอยู่ 35 องศา)
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวที่เปียกน้ำ ดอกยางของ Decathlon Kiprun KN500 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่ามาตรฐานเช่นกัน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 33 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนนอยู่ 20 องศา)

โดยค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนน คือ ค่าเฉลี่ยที่รองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่สามารถยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่ถูกออกแบบมาให้กับรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20 องศา
ซึ่งค่าการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของดอกยางทั้งในรองเท้าวิ่งถนนและวิ่งเทรล ที่ทางเราทดสอบแล้วพบว่า “ให้ความรู้สึกที่มั่นคงมาก ไม่มีอาการลื่นหรือไถลบนเส้นทางที่เปียกน้ำ จะมีค่าอยู่ที่ 30 องศาขึ้นไป”
ทำให้ดอกยางของ Decathlon Kiprun KN500 ที่ยึดเกาะพื้นได้ 33 องศา ก็ถือได้ว่าสามารถยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้อย่างยอดเยี่ยมในรองเท้าวิ่งถนน

โดยรวม ดอกยางของ Decathlon Kiprun KN500 เป็นดอกยางที่สามารถเกาะพื้นผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวที่แห้งหรือเปียกน้ำได้ดีเป็นอย่างมาก การลงเท้าและยันตัวออกไปไม่มีลื่น รวมทั้งดอกยางยังมีความทนทานในการใช้งาน

สรุปโดยรวมและการใช้งาน

รองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่ทางเราประทับใจและเกินความคาดหวังเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากใช้งานมาระยะเวลาหนึ่ง ทางเราก็รู้สึกว่าเป็นรองเท้าวิ่งที่ใช้งานง่าย ปรับตัวไม่ยากและสามารถนำไปใช้หมุนเวียนในการฝึกซ้อมในแผนได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่มีความรู้สึกว่าแปลกหรือขัดกับรองเท้าวิ่งที่ใช้ซ้อมวิ่งประจำวันและรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันคู่หลักแต่อย่างใด
ซึ่งต้องอธิบายจากในด้านของประสบการณ์และแผนการฝึกซ้อมวิ่งของทางเราก่อนว่า โดยปกติทางเราจะมีวันสำหรับฝึกซ้อมพิเศษโดยเฉพาะ เช่น การฝึก Drills และการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเฉพาะส่วน โดยจะฝึกซ้อมประมาณอาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง ซึ่งรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับการฝึกซ้อมลักษณะนี้จะเป็นรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ที่มีความเสถียรและมั่นคง และเท้าได้ทำงานเพิ่มมากขึ้น

และสิ่งที่ทางเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเลือกใช้รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist คือ ต้องสามารถใช้งานเข้ากับรองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวันและรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันคู่หลักได้โดยที่ไม่ต้องมีการปรับตัว หรือส่งผลให้ท่าวิ่งผิดไปจากเดิมมากนัก
และในปัจจุบัน รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันที่ทางเราใช้งานจะมี Drop อยู่ที่ 8 มม. และรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันก็มี Drop อยู่ที่ 4 – 10 มม. ทำให้รองเท้าวิ่งประเภท Minimalist ต้องมี Drop อยู่ระหว่าง 4 – 8 มม. จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทางเรา

โดยทางเราได้ใช้งานรองเท้าวิ่งประเภทนี้มาหลายคู่ จากทั้งแบบเข้าใกล้การวิ่งด้วยเท้าเปล่าอย่าง Merrell Vapor Glove 4 ที่เป็นเพียงแผ่นรองและดอกยางขั้นระหว่างพื้นถนนกับเท้า และมี Drop อยู่ที่ 0 มม. ซึ่งการใช้งานค่อนข้างขัดกับรองเท้าวิ่งคู่หลักเป็นอย่างมาก และให้ความรู้สึกที่ไม่ต่อเนื่องในการฝึกซ้อม ประกอบกับอาการเมื่อยล้าของขาและเท้าที่ค่อนข้างมากจนเกินไป รวมทั้งเป็นเรื่องยากมากที่จะนำไปใช้ฝึกซ้อมวิ่งบนถนนจากความบางของพื้นรองเท้า ทำให้เป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งที่ทางเราแทบไม่ได้หยิบออกมาใช้งาน
ซึ่งต่างจากรองเท้าวิ่ง Minimalist ที่มีความเป็นกลางอย่าง Salomon ตระกูล Predict, Nike ตระกูล Flex, Decathlon Kiprun KN500 รวมไปถึง Jogflow 500.1 จะเป็นรองเท้าวิ่งที่เราเลือกมาใช้ฝึกซ้อมพิเศษอยู่เป็นประจำ

และ Decathlon Kiprun KN500 มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการนำไปใช้หมุนเวียนในการฝึกซ้อมอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น พื้นชั้นกลางที่ยืดหยุ่น ที่ทำให้ขาและเท้าสามารถเคลื่อนไหวและออกแรงได้ตามธรรมชาติ และความเฟิร์มบาง แต่ยังคงช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดี ซึ่งสามารถใช้งานบนถนนได้โดยที่ขาและเท้าไม่ล้ามากนัก และการมี Drop อยู่ที่ 4 มม. ที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป รวมไปถึงมีความเสถียรและมั่นคงเป็นอย่างมาก
ในส่วนของดอกยางถือได้ว่าเกาะพื้นได้อย่างดีเยี่ยมทั้งบนพื้นผิวที่แห้งและเปียกน้ำ อย่างไรก็ตามในส่วนของหน้าผ้าและความกระชับ ที่นักวิ่งเท้าเรียวและผอม ทางเราแนะนำต้องไปทดลองสวมใส่ดูก่อนว่า มีความกระชับพอดีตามที่ชอบหรือไม่

ในด้านของนักวิ่งมือใหม่ที่กำลังเข้าสู่การเป็นนักวิ่งเท้าเปล่า หรือกลุ่มนักวิ่งสาย Minimalist โดยตรง รองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 ถือได้เป็นทางเลือกที่ดีในการเป็นรองเท้าวิ่งเริ่มต้น ที่มีความเป็นกลางและเป็นมิตรกับมือใหม่ในกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งหากไม่ชอบแนวทางของนักวิ่งเท้าเปล่าก็ยังสามารถกลับตัวมายังนักวิ่งถนนปกติได้ หรือหากชื่นชอบก็สามารถไปต่อกับรองเท้าวิ่ง Minimalist พื้นบางที่เข้าใกล้กับการวิ่งเท้าเปล่าต่อไปได้
โดยรวม Decathlon Kiprun KN500 ถือได้ว่าตอบโจทย์และทำหน้าที่ในฐานะของรองเท้าวิ่งประเภท Minimalist สำหรับฝึกซ้อมพิเศษได้เป็นอย่างดี

และในบทความรีวิว Decathlon Kiprun KN500 นี้ ต้องขอขอบคุณทาง Decathlon Thailand ที่ส่งรองเท้าและชุดวิ่งมาให้ทางเราทดสอบนะครับ
และท่านใดที่สนใจรองเท้าวิ่ง Decathlon Kiprun KN500 ณ เวลานี้ มีวางจำหน่ายแล้วที่ Decathlon ทุกสาขา หรือสามารถเข้าไปเลือกชมแบบออนไลน์ได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ และสินค้าของแบรนด์ Decathlon ทุกชิ้นรับประกัน 2 ปีนะครับ

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles