บทสัมภาษณ์ผู้ออกแบบรองเท้าวิ่ง Saucony Endorphin Pro กับเหตุผลที่คุณต้องเลือกคู่นี้

Related Articles

วันนี้เราจะมาแปลบทสัมภาษณ์ผู้ออกแบบและผู้วิจัยรองเท้าคาร์บอนที่เป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ นั่นคือ Saucony Endorphin Pro ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์จากร้านขายรองเท้าชื่อดังของอเมริกาอย่าง Running Warehouse ให้ผู้ที่รักการวิ่งได้อ่านกันครับ

“Saucony Endorphin Pro ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน แต่มันคือการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

บทสัมภาษณ์ของ Connor จาก Running Warehouse ที่ได้ไปสัมภาษณ์ Andrea ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการการออกแบบรองเท้าของแบรนด์ Saucony โดยได้ถามถึงรายละเอียดและที่มาของรองเท้าคาร์บอนรุ่นแรกของแบรนด์ นั่นคือ Saucony Endorphin Pro

(ซ้าย) Connor จาก Running Warehouse และ (ขวา) Andrea เป็นผู้อำนวยการการออกแบบรองเท้าของแบรนด์ Saucony

Andrea ได้เล่าถึงความเป็นมาในการออกแบบรองเท้าคู่นี้ เธอกล่าวว่า “เรามีนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม อย่าง Molly Huddle และ Jared Ward เราสามารถยกระดับความสามารถของพวกเขาด้วยรองเท้ายอดเยี่ยม ดังนั้นเราเลือกที่จะใช้วัสดุ Pebax ซึ่งแบรนด์อื่น ๆ ก็คิดเหมือนกันเรา” โดยทาง Andrea เรียกโฟมที่ทำจากวัสดุ Pebax ตัวนี้ว่า PWRRUN PB ซึ่งมีน้ำหนักเบาและให้การตอบสนองที่ดี

พื้นโฟม PWRRUN PB ที่ทำมาจากวัสดุ Pebax

Andrea เริ่มการทดลองจากโฟม Pebax แบบชิ้นเดียวทั้งพื้น (Non-Beaded Pebax Foam) และแผ่นคาร์บอน รวมทั้งมี Stack height ที่ค่อนข้างสูง (เหมือนใน Nike Vaporfly 4%) เกิดเป็นรองเท้า Prototype คู่แรก โดยใช้หน้าผ้าของรองเท้าประเภท Daily Trainer จากนั้นจึงนำไปให้ Jared Ward วิ่งทดสอบ ซึ่งมันให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก แต่ปัญหาคือความทนทานของมันที่น้อยกว่าที่ทีมงานหวังไว้ (ความทนทานในที่นี้ คือการที่โฟมหมดสภาพหรือสูญเสียอัตราการส่งแรงกลับ (Energy Return) ซึ่งเกิดจากการยุบตัวในขณะที่วิ่ง)

รองเท้า Prototype คู่แรก ที่ถูกนำไปให้ Jared Ward ทดสอบ ซึ่งมีปัญหาในเรืองของความทนทาน

Andrea และทีมงานต้องกลับมานั่งคิดหาวิธีทำให้พื้นโฟม PWRRUN PB มีความทนทานมากขึ้น จนในที่สุดพวกเขาก็หาทางจนสำเร็จ โดยการนำโฟม Pebax มาแบ่งเป็นเม็ดเล็ก ๆ (Beaded Pebax Foam) แล้วนำมาอัดรวมกันทีหลัง (เหมือนพื้น Boost ของ Adidas) ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เกิดโครงสร้างภายในเนื้อโฟมที่แข็งแรง โดยจะมีความทนทานที่มากขึ้นกว่าเดิมเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จึงเกิดเป็นรองเท้า Prototype คู่ที่สอง ซึ่ง Andrea ถึงกับกล่าวอย่างภูมิใจว่า “นี่มันเป็นเครื่องหมายว่ารองเท้าของเรา มีประสิทธิภาพที่ดีมากเมื่อเทียบกับของคู่แข่งบางราย”

Prototype คู่ที่สอง ซึ่งนำโฟม Pebax มาแบ่งเป็นเม็ดเล็ก ๆ (Beaded Pebax Foam) แล้วนำมาอัดรวมกันทีหลัง ทำให้มีความทนทานที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
สีหน้าของ Andrea ที่กล่าวอย่างภูมิใจว่า “นี่มันเป็นเครื่องหมายว่ารองเท้าของเรา มีประสิทธิภาพที่ดีมากเมื่อเทียบกับของคู่แข่งบางราย”

หลังจากได้พื้นโฟมที่ทนทานกว่ายี่ห้ออื่นในตลาด งานต่อไปของ Andrea และทีมงานก็คือ การปรับเปลี่ยนหน้าผ้า โดยรองเท้า Prototype คู่ที่สองยังใช้หน้าผ้าแบบ Daily Trainer ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้แข่ง ดังนั้นทีมงานของ Andrea จึงทดลองนำหน้าผ้าของ Saucony Type A9 และ Saucony Endorphin Racer 2 มาลองใส่กับพื้นแบบใหม่ ซึ่งให้ผลตอบรับที่ดีจากนักวิ่ง พวกเขาค่อนข้างชอบหน้าผ้าแบบนี้ (จนเกิดเป็นที่มาของชื่อ Saucony Endorphin Pro และใช้หน้าผ้าที่ได้แรงบันดาลใจจาก Endorphin Racer 2 โดยหน้าผ้าแบบใหม่มีลักษณะเป็นผ้า Mesh ชั้นเดียว (Single layer engineered mesh))

Saucony Endorphin Pro ใช้หน้าผ้าแบบใหม่ที่มีลักษณะเป็นผ้า Mesh ชั้นเดียว (Single layer engineered mesh)

แน่นอนว่าประสิทธิภาพของรองเท้ารุ่นใหม่นี้ ไม่มีอะไรที่ต้องกังขา แต่สิ่งที่ Andrea และทีมงานสนใจมากกว่าคือ มันทำให้นักวิ่งบาดเจ็บหรือไม่ ผลจากการสอบถามนักวิ่งพบว่า หลังจากจบการแข่งขันมาราธอน พวกเขายังรู้สึกดีและไม่มีอาการบาดเจ็บ รวมถึงนักวิ่งบางรายอย่าง Linsey Corbin กล่าวว่า อาการบาดเจ็บเปลี่ยนจากกล้ามเนื้อ Quad (กล้ามเนื้อบริเวณหน้าขา) ไปเป็นกล้ามเนื้อส่วนอื่นแทน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ดังนั้น Andrea และทีมงานจึงทดลองปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมา ไม่ว่าจะเป็นองศาของปลายรองเท้า และ Stack height ของรองเท้าทั้ง 4 มม. และ 8 มม. ซึ่งมีผลโดยตรงกับกล้ามเนื้อสะโพก จนในที่สุด ออกมาเป็นการผสมผสานระหว่างการทำความเร็วและความสบายของนักวิ่ง (ท้ายที่สุด Endorphin Pro มี Drop อยู่ที่ 8 มม.) ซึ่งหมายถึงการออกแรงเท่าเดิมแต่จะทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น โดยทาง Saucony เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Speedroll Technology

Speedroll Technology เป็นองศารองเท้าที่จะช่วยให้นักวิ่งวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของแผ่นคาร์บอนแข็งรูปตัว S ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงมากในการทดลองครั้งนี้ โดย Andrea ให้เหตุผลว่า “ในการทดลองบางครั้งมันก็ให้ผลที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นเราจึงต้องการมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งส่วนอื่นอย่างละเอียดมากกว่า ซึ่งมันก็ออกมาเป็นรองเท้า Saucony Endorphin Pro คู่นี้ที่เราภูมิใจอย่างมาก”

แผ่นคาร์บอนแข็งรูปตัว S
หนึ่งในรองเท้า Prototype ที่ผ่านการออกมาถึง 25 แบบ ซึ่งใช้เวลาถึง 18 สัปดาห์ในการทดสอบ

ในท้ายของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ Connor ได้ถามคำถามที่น่าสนใจคำถามหนึ่ง นั้นคือ “อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่นักวิ่งต้องการในรองเท้าสำหรับแข่งมาราธอนคู่นี้ ?”  Andrea ตอบว่า “นักวิ่งส่วนใหญ่ต้องการรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา และสวมใส่สบายซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถวิ่งระยะไกลได้ดีขึ้น แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา คือ รองเท้าที่จะพาเขาไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัยด้วยความรู้สึกที่มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันแบบใด หรือ สนามไหน พวกเราจะส่งมอบรองเท้าที่พวกเขาภาคภูมิที่จะสวมใส่มัน และพวกเราก็ภูมิใจในฐานะแบรนด์ที่จะส่งมอบคุณค่านี้ให้แก่พวกเขา”

แอดมินหวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ถ้าหากท่านใดมีคำถามสามารถเข้าไปถามได้ในเพจ FB: Running Profiles ได้เลยครับ ฝากกดไลค์และติดตามเพจด้วยครับ ขอให้วิ่งให้สนุกครับ

ข้อมูลอ้างอิง:

More on this topic

Popular stories

Training Plan