หากกล่าวถึงกลุ่มประเทศต้นตำรับของกีฬากลางแจ้งอย่างการปีนหน้าผ้า ไต่เขา เดินป่า สกีหิมะ หรือการวิ่งเทรล คงจะหนีไปไม่พ้นกับกลุ่มประเทศในแถบยุโรป โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส สเปน สวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ที่กีฬาประเภทนี้จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ
ซึ่งไม่เป็นที่น่าแปลกใจนัก หากย้อนกลับไปในจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์นักปีนเขาของฝั่งยุโรป ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ล้วนมีความรู้สึกที่มุ่งมั่นในการที่จะพิชิตอะไรบางอย่างเพื่อเกียรติยศและเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามไขว่คว้าหามาโดยตลอด แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตัวพวกเขาเองก็ตาม
ความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ต้องการจะพิชิตยอดภูเขาสูง เพื่อจะได้ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ก่อให้เกิดการประดิษฐ์และสร้างนวัตกรรมอุปกรณ์สำหรับไต่เขาจนก่อให้เกิดแบรนด์ต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันในระดับโลกที่ไม่ว่าจะแบรนด์ Salomon จากประเทศฝรั่งเศส หรือแบรนด์ Vibram จากประเทศอิตาลี ซึ่งในภายหลังนวัตกรรมเหล่านี้จึงถูกส่งต่อและพัฒนากลายมาเป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่เราได้ใช้งานกันในปัจจุบัน
และในวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งแบรนด์ระดับตำนานที่เก่าแก่ยิ่งกว่าแบรนด์ Vibram และแบรนด์ Salomon เสียอีก นั่นคือ “แบรนด์ La Sportiva: ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นและตำนานของเหล่าผู้พิชิตยอดเขาจากอิตาลี” เชิญติดตามได้เลยครับ

จุดเริ่มต้นและค่ำคืนแห่งคำสัญญา
มีเรื่องราวที่เล่าขานกันถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ La Sportiva ว่ามีจุดเริ่มต้นจากความงดงามของเหล่าผู้คน ณ ชุมชน ในหุบเขา Fiemme ประเทศอิตาลี

Narciso Delladio เป็นบุตรคนที่ 5 จากบุตร 8 คนในครอบครัว Delladio ซึ่งเขาเกิดในปี 1890 และเติบโต ณ หุบเขา Fiemme ประเทศอิตาลี ด้วยความยากจนของครอบครัว ทำให้เขาต้องออกไปทำงานเป็นช่างก่ออิฐ ณ เมืองเวนิส เพื่อหาเงิน ที่จะนำมาทำตามความฝันของเขาและครอบครัว นั่นคือการเปิดร้านทำรองเท้าบูทหนัง
การเปิดร้านทำรองเท้าบูทไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัว Delladio รักที่จะทำเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ “คำสัญญา” ที่คุณแม่ของ Narciso ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าและเหล่าผู้คน ณ ชุมชน ในหุบเขา Fiemme
ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในค่ำคืนอันหนาวเหน็บท่ามกลางพายุหิมะในฤดูหนาว คุณแม่ของ Narciso ได้พลัดหลงเข้าไปในป่า ซึ่งเธอพยายามหาทางกลับบ้านอย่างสุดชีวิต แต่ความพยายามนั้นกลับไม่เป็นผล เธอได้หลงทางในป่าที่พายุหิมะกำลังพัดโหมกระหน่ำ จนกระทั่งเท้าของเธอเริ่มเย็นและแข็ง
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าและสัญญากับตัวเธอเองว่า “ถ้าเธอสามารถรอดชีวิตออกไปจากเหตุการณ์นี้ได้ สมาชิกในครอบครัวของเธออย่างน้อยหนึ่งคนจะอุทิศตนให้กับการเป็นช่างทำรองเท้าบูทให้แก่ชุมชนแห่งนี้” และในที่สุดแสงแห่งความหวังก็มาถึงเมื่อเหล่าผู้คนทั้งหมดในชุมชนเล็กๆ แห่งหุบเขา Fiemme ต่างพากันออกตามหาเธอจนสามารถช่วยเหลือเธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย
และคำสัญญาที่เธอให้ไว้ในค่ำคืนนั้น เพื่อตอบแทนผู้คนในสังคมที่งดงามแห่งนี้ จึงถูกส่งต่อมายังเหล่าทายาทของเธอ
ความรู้เพิ่มเติม
- หุบเขา Fiemme หรือในภาษาอิตาลีถูกเรียกว่า “Val di Fiemme” เป็นเขตหุบเขาในจังหวัดเทรนติโน (Trentino) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขา Dolomites ณ ประเทศอิตาลี โดยจะมีชุมชนหรือเมืองขนาดเล็ก กระจายอยู่ในเขตหุบเขานี้ เช่น เมือง Ziano di Fiemme และเมือง Tesero
- โดยทางแบรนด์ La Sportiva จะมีการเขียนติดบริเวณแท็กของสินค้าเสมอว่า “Val di Fiemme, Italy” ซึ่งเป็นเสมือนการบ่งบอกว่า “สินค้าทุกชิ้นยังคงมีการส่งต่อวัฒนธรรมอันเก่าแก่จากหุบเขา Fiemme ณ ประเทศอิตาลีให้แก่ผู้ใช้”

หลังจาก Narciso Delladio ทำงานเป็นช่างก่ออิฐอยู่ไม่กี่ปี เขาก็สะสมเงินจนเพียงพอที่จะกลับไปที่เมือง Tesero เพื่อเปิดร้านทำรองเท้า เหมือนกับพ่อและพวกพี่ชายของเขา
ในปี 1921 เขาในวัย 31 ปี ได้แต่งงานกับ Luigia หญิงสาวที่มีอายุอ่อนกว่าเขาถึง 12 ปี ซึ่ง ณ เวลานั้นร้านของเขามีอุปกรณ์และเครื่องมือเพียงไม่กี่ชนิด เช่น โต๊ะยาวและเก้าอี้หนึ่งตัวและเครื่องมืออีกจำนวนไม่มาก

ซึ่งเขาได้เริ่มลงมือทำรองเท้าหนังที่ใช้พื้นเป็นไม้ (Wooden Clogs) และรองเท้าบูทสำหรับเดินหิมะที่พื้นด้านล่างจะมีเหล็กลักษณะคล้ายตะปู (Nails) ติดอยู่ เพื่อใช้สำหรับเดินบนเส้นทางที่มีหิมะ ซึ่งเป็นรองเท้าบูทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น

โดยลูกค้าของเขาส่วนใหญ่ คือ เกษตรกร ช่างตัดไม้ และคนงานของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในเมือง Tesero แต่ก็มีบางครั้งที่ลูกค้าของเขาคือ นักท่องเที่ยวและนักสำรวจที่มาเยือนยังเทือกเขา Dolomites ซึ่งแม้ว่ารองเท้าหนังของเขาจะถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานเกษตรกรรม แต่มันยังมีคุณสมบัติที่ดีเพียงพอที่เหมาะกับการนำไปใช้ในการเดินทางบนเทือกเขาได้อีกด้วย
Narciso Delladio มองว่ากระแสการไต่ภูเขาน้ำแข็ง (Alpinism) เป็นสิ่งที่ทันสมัยและน่าหลงไหลในยุคสมัยนั้น เขาจึงได้เล็งเห็นโอกาสที่จะแตกต่างจากคู่แข่งในการเลือกที่จะผลิตรองเท้าบูทสำหรับใช้งานบนภูเขาแทนที่รองเท้าบูทสำหรับงานเกษตรกรรม

เขาได้พัฒนาและออกแบบรองเท้าบูทรุ่นต่าง ๆ ให้มีน้ำหนักที่เบาขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะขายผลิตภัณฑ์รองเท้าบูทเหล่านี้ให้กับเหล่านักเดินทางที่มาจากต่างแดนในช่วงวันหยุด ซึ่งโดยปกติพวกนักเดินทางมักจะยินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่าคนในท้องถิ่น
และสิ่งที่จะทำให้ Narciso แตกต่างจากช่างทำรองเท้าคนอื่น นั่นก็คือ ความชอบในการประดิษฐ์และการรับฟังปัญหาและคำแนะนำจากลูกค้า ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งที่เหล่าช่างตัดไม้ได้ให้คำแนะนำในการออกแบบรองเท้า จนนำเขาไปสู่การออกแบบเชือกรองเท้าแบบพิเศษที่จะร้อยตัวเชือกไปรัดบริเวณหลังข้อเท้า (Posterior Lacing) เพื่อเพิ่มความกระชับ
ซึ่งนอกจาก Narciso จะนักประดิษฐ์ที่ชื่นชอบในความทันสมัยและหลงใหลในเทคโนโลยี เขายังเป็นคนหัวก้าวหน้าที่แสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิตอยู่เสมออย่างเช่น การเริ่มศึกษาภาษาเอสเปรันโตอย่างกระตือรือร้น เพียงเพราะเขาคาดการณ์ว่าภาษาเอสเปรันโตจะเป็นภาษาสากลในอนาคต
ในปี 1926 เขาเสี่ยงที่จะลงทุนในการซื้อรถยนต์ Fiat 509 ซึ่งเป็นรถยนต์คันแรกในชีวิตของเขา เพื่อที่จะนำมารับส่งเหล่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังเทือกเขา Dolomites ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น จำนวนนักท่องเที่ยวกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างมาก

งานรับจ้างรับส่งเหล่านักท่องเที่ยวไปยังเทือกเขา Dolomites ทำให้เขาได้รับแง่มุมและเข้าใจถึงความต้องการของเหล่านักเดินทางและนักสำรวจ ซึ่งจะส่งผลช่วยให้เขาออกแบบและผลิตรองเท้าได้ตรงตามความต้องการของนักเดินทางมากยิ่งขึ้น
และในปี 1928 ซึ่งถือเป็นปีที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ Narciso Delladio นั่นคือโอกาสเข้าร่วมงาน Milan Trade Fair (Fiera di Milano) หรืองานจัดแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ณ นครมิลาน ประเทศอิตาลี อย่างไรก็ตาม การที่จะเข้าร่วมงาน Milan Trade Fair นั้น เขาจำเป็นต้องมีชื่อร้านอย่างเป็นทางการเสียก่อน
ด้วยความที่ Narciso เป็นคนหัวก้าวหน้า เขาจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะแตกต่างอีกครั้ง โดยใช้ชื่อร้านว่า “La Calzoleria Sportiva” (อ่านว่า ลา – คาล – โซ – เล – รี – ยา – สปอร์ต – ติ – ว่า) หรือในภาษาอังกฤษจะมีความหมายว่า “The Sports Shoe Shop” หรือ “ร้านรองเท้ากีฬา” นั่นเอง
ซึ่ง ณ เวลานั้น ร้านทำรองเท้าบูทส่วนใหญ่มักจะใช้ชื่อที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับช่างตัดไม้และเกษตรกรเป็นหลัก โดยสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อในชื่อของร้านก็คือ “การเปิดกว้างและไม่ยึดติดในการผลิตเพียงแค่รองเท้าบูทสำหรับใช้งานในภาคเกษตรกรรม แต่เขาจะผลิตรองเท้ากีฬาสำหรับการไต่ภูเขาทุกชนิด”
การเข้าร่วมและได้รับใบรับรองจากงาน Milan Trade Fair ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์ La Calzoleria Sportiva เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นและไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในจังหวัดเทรนติโนเหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ซึ่งนี้จึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของแบรนด์ La Sportiva

ความรู้เพิ่มเติม ในปัจจุบันปี 2021 ซึ่งถ้านับอายุตามช่วงเวลาที่ตั้งชื่อแบรนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรก แบรนด์ La Sportiva จะมีอายุครบ 93 ปี แต่หากนับอายุตามประสบการณ์ที่ผู้ก่อตั้งอย่าง Narciso Delladio เริ่มลงมือทำรองเท้าบูทนั้น แบรนด์ La Sportiva จะมีอายุครบ 100 ปีพอดี
ย้อนกลับไปในช่วงปีก่อนหน้าปี 1928 กันสักเล็กน้อย ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ นั่นคือ Luigia ภรรยาของ Narciso ได้คลอดบุตร 4 คน โดยประกอบไปด้วยบุตรสาว 3 คน คือ Anna, Narcisa, และ Clara และบุตรชายอีกหนึ่งคนคือ Francesco ซึ่งเป็นบุตรชายที่ต่อมาจะโตมารับช่วงต่อพ่อของเขา

รุ่นที่สอง Francesco Delladio ผู้มีวิสัยทัศน์และนักพนันตัวจริง
เมื่อทุกอย่างดูเหมือนกำลังไปได้ด้วยดี กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น นั่นคือ การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ซึ่งทำให้ทั้งครอบครัว Delladio ต้องย้ายไปทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ชื่อ “maso Stava” ที่ซึ่งพวกเขาสามารถรีดนมวัวและมีไข่ไก่ในการประทังชีวิตในแต่ละวัน แต่ก็ยังถือเป็นโชคดีที่ว่าลูกชายของ Narcisa อย่าง Francesco Delladio ยังเป็นเด็กเกินกว่าที่จะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ได้
และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาชีพช่างทำรองเท้าบูทถือเป็นงานที่ล้ำค่าและเป็นที่ต้องการตัวมาก ซึ่งทำให้ Narciso ต้องรับทำและซ่อมรองเท้าบูทให้แก่เหล่าทหารของอิตาลี โดยแลกเปลี่ยนกับพวกเนย น้ำตาลและแป้ง หรือสิ่งของที่จำเป็นในการเลี้ยงดูครอบครัวของเขา
ซึ่งนี้เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ลูกชายของ Narcisa อย่าง Francesco กำลังเติบโตและอยู่เคียงข้างช่วยงานพ่อของเขา ทั้งในการผลิตรองเท้าบูทและการบริการขนส่งผู้โดยสาร จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในช่วงปี 1945 Francesco Delladio ณ เวลานี้ ได้เรียนรู้ขั้นตอนในการทำงานทั้งหมดจากพ่อของเขาและพร้อมที่จะเข้ามารับช่วงต่อกิจการแบรนด์ La Calzoleria Sportiva ต่อไป
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ความต้องการในการใช้รองเท้าบูทไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ทำให้แบรนด์ La Calzoleria Sportiva ต้องมีการจ้างคนงานในการผลิตรองเท้าเพิ่มและย้ายโรงงานไปตั้งอยู่ใกล้กับจัตุรัสใจกลางเมือง Tesero

ณ ตึกที่ตั้งโรงงานแห่งนั้น ชั้นล่างมีคนงานชาย 4 คน ในการตัดและประกอบหน้าผ้าของรองเท้าบูท ซึ่งขณะเวลานั้นพวกเขายังไม่มีเครื่องจักรในการผลิตมากนักและต้องใช้แรงของคนงานชายที่มีนิ้วและแขนที่แข็งแรงในการประกอบรองเท้าบูทด้วยมือ และในส่วนของชั้นบนจะเป็นห้องทำงานของลูกสาว 3 คนที่คอยบริหารและจัดการในเรื่องของการขาย โดยมีชั้นบนสุดคือห้องนอนและบ้านของพวกเขา
ต่อมาในช่วงปลายปี 1950 กิจการทำรองเท้าบูทเป็นไปได้อย่างราบรื่น พวกเขามีการขยายร้านขายรองเท้าไปยังเมืองต่าง ๆ อย่างเมือง Predazzo ที่ในภายหลังจะกลายมาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขายรองเท้าบูทและรองเท้าสกีหิมะ
เนื่องจากเมือง Predazzo ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนตำรวจ Guardia di Finanza Alpine School ที่จะมีการฝึกเหล่าตำรวจในการใช้สกีและเทคนิคการไต่ภูเขาหิมะ ซึ่งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้ทางแบรนด์ La Calzoleria Sportiva ได้เข้ามาสนับสนุนและเป็นสปอนเซอร์หลักของโรงเรียนตำรวจแห่งนี้

และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Francesco Delladio ในวัย 23 ปี ได้เข้ามารับช่วงต่ออย่างเป็นทางการจากพ่อของเขา ในการตัดสินใจต่าง ๆ ทางธรุกิจ ซึ่งเขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และมั่นใจในความคิดของตนเองเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่เข้าใจในจิตวิญญาณและความทุ่มเทของเหล่านักไต่เขาที่ต้องการที่จะพิชิตยอดภูเขาสูง
โดยในปี 1960 Francesco ได้ตัดสินใจตั้งโรงงาน ณ นอกตัวเมืองที่หากไกลจากบ้านของพวกเขา ณ สถานที่ที่ถูกเรียกว่า Piera ซึ่งบริเวณดังกล่าวในช่วงเวลานั้นไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างคิดว่าเขาได้บ้าไปแล้ว

ในมุมมองของคนในครอบครัว การที่ Francesco ตั้งโรงงานในครั้งนี้ไม่มีความแน่นอนว่ามันจะประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนัน แต่เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่า “กิจการแบรนด์ La Calzoleria Sportiva จำเป็นต้องขยายโรงงานและสร้างสำนักงานใหม่ที่มีเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อรองรับกับตลาดที่กำลังจะเติบโตในอนาคต”
แม้ว่าพ่อของเขาอย่าง Narciso จะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่เขาก็เปิดทางให้ลูกชายของเขาได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ ซึ่งกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกชายของเขานั้นคิดถูก เนื่องจากต่อมาในภายหลัง ณ บริเวณ Piera จะกลายมาเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Francesco ได้แต่งงานกับ Giuseppina และมีบุตรด้วยกันอยู่ 4 คน คือ Lorenzo ซึ่งเป็นลูกชายคนโตที่สุดของครอบครัว, Luciano, Claudia และ Marco โดยมีคุณยาย Luigia เป็นครูสอนหนังสือให้แก่เหล่าเด็กๆ ในช่วงฤดูร้อน ณ บ้านไร่ ในเขตชุมชน Val di Stava
เมื่อโรงงาน ณ Piera สร้างเสร็จ พวกเขาก็ได้ย้ายทั้งครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่นั่น ที่ซึ่งเหล่าเด็กๆ จะตื่นเช้าขึ้นมาในบ้านหลังใหม่ และได้พบกับเครื่องจักรในการตัดเย็บรองเท้าจำนวนมากที่ถูกตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของตัวบ้าน ซึ่งทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ทั้งการศึกษา ชีวิตครอบครัว และขั้นตอนในการทำงานในเวลาเดียวกัน

ณ โรงงานแห่งใหม่นี้ Francesco ได้เริ่มออกแบบและพัฒนารองเท้าบูทสำหรับเล่นสกีหิมะ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในยุคสมัยนั้น และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ที่งานจัดแสดงสินค้า Milan Exhibition กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

Francesco ไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ เขาได้นำผลิตภัณฑ์รองเท้าบูทสำหรับเล่นสกีหิมะในฤดูหนาวและรองเท้าบูทเดินภูเขาแบบดั้งเดิมสำหรับใช้ในฤดูร้อนไปจัดแสดง รวมทั้งได้มีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ให้มีความเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น
จากชื่อแบรนด์ “La Calzoleria Sportiva” ถูกปรับลดให้เหลือเพียง “La Sportiva” (อ่านว่า ลา – สปอร์ต – ติ – ว่า) หรือมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า “The Sport”
นอกจากนี้เขายังได้มีการเพิ่มโลโก้รูปเทือกเขาที่มีรูปวงแหวนโอลิมปิค 5 ห่วงอยู่ภายใน เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ในการขยายตลาดให้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งทวีปยุโรป โดยรูปเทือกเขาในโลโก้ก็คือ เทือกเขา Dolomites ของประเทศอิตาลี และวงแหวนโอลิมปิค 5 ห่วง หมายถึงทวีปทั้ง 5 ของโลก

ซึ่งความหมายของโลโก้นี้คือ “จิตวิญญาณแห่งกีฬาที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการทำรองเท้าเล็ก ๆ ณ หุบเขา Fiemme กับทวีปทั้ง 5 ในโลก” อย่างไรก็ตาม ในภายหลังรูปวงแหวนโอลิมปิค 5 ห่วงจะถูกนำออกไป เหลือไว้เพียงรูปเทือกเขา Dolomites และชื่อแบรนด์ La Sportiva อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั่นเอง

ตำนานและเรื่องราวของเหล่าผู้พิชิตยอดเขา
ก่อนที่จะไปกันต่อ เรามาย้อนอธิบายกันถึงภาพรวมของการเดินทาง เพื่อพิชิตยอดเขาสูง ณ ช่วงยุคก่อนหน้าจนถึงช่วงปี 1960 กันก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้ Francesco Delladio หลงใหลและเข้าใจในจิตวิญญาณเหล่านักไต่เขา จนทุ่มเทเวลาไปกับการพัฒนาและออกแบบรองเท้าบูทสำหรับไต่เขาให้มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่เหล่าผู้พิชิตยอดเขาเหล่านี้
ตำนานการเดินทางของเหล่าผู้พิชิตยอดเขา เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1760 ซึ่งเป็นการสำรวจภูเขา Mont Blanc โดยเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์และในทวีปยุโรปตะวันตก ที่ ณ จุดสูงสุดของยอดเขามีความสูง 4,808 เมตร ซึ่งชื่อ Mont Blanc มีความหมายว่า “ภูเขาสีขาว”

โดย ณ ช่วงเวลานั้น ภูเขา Mont Blanc ยังอยู่ในเขตของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย ซึ่งในการสำรวจครั้งแรกนั้นต้องใช้เวลาสำรวจไปกว่า 26 ปี
จนกระทั่งในปี 1786 นักไต่เขาจากอาณาจักรซาร์ดิเนียนามว่า Jacques Balmat และนายแพทย์ Michel Paccard สามารถเสี่ยงชีวิตและเดินทางไปจนถึงยอดเขาได้สำเร็จ ซึ่งทำให้พวกเขาต่างได้รับทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศจากกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนีย รวมทั้งถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้พิชิตยอดเขา Mont Blanc คนแรกของโลก

ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย คืออาณาจักรที่ต่อมาจะถูกแบ่งและย้ายดินแดนกลายมาเป็นประเทศอิตาลีอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ซึ่งถือได้ว่าชาวซาร์ดิเนียก็คือบรรพบุรุษของชาวอิตาลีนั่นเอง นี้จึงไม่แปลกว่าทำไมชาวอิตาลีในยุคสมัยต่อมาจะนิยมและต้องการที่จะพิชิตยอดเขาเหมือนดังที่บรรพบุรุษของเขาพวกได้ทำสำเร็จมาแล้ว
ต่อมาในช่วงปี 1950 ผู้ที่ถูกยกให้เป็นตำนานและวีรบุรุษผู้พิชิตยอดเขาของชาวอิตาลี คือ Walter Bonatti ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะสำรวจของประเทศอิตาลีที่ ในปี 1954 พวกเขาสามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขา K2 หรือภูเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสองของโลกได้สำเร็จเป็นคณะแรกของโลก หลังจากมีการการพยายามขึ้นไปพิชิตยอดเขา K2 ตั้งแต่ปี 1856

นอกจากนี้ ในปี 1958 Walter Bonatti ยังเป็นชายคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขา Gasherbrum IV หรือ K3 ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับที่ 17 ของโลก รวมทั้งเขายังกลับไปสำรวจและพิชิตเส้นทางใหม่ในภูเขา Mont Blanc อยู่บ่อยครั้ง โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Solo Climb” หรือ “การพิชิตยอดเขาแบบไม่ใช้ถังออกซิเจน”

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของของเหล่าผู้พิชิตยอดเขาก็ต้องแลกมาด้วยโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยในเดือนธันวาคมปี 1956 Walter Bonatti และเพื่อนของเขาอย่าง Silvano Gheser กำลังมีแผนที่จะพยายามปีนขึ้นไปพิชิตยอดเขา Mont Blanc ในฤดูหนาวด้วยกัน
ในระหว่างการเดินทางพวกเขาได้พบกับนักปีนเขาสองคน คือ Jean Vincendon ซึ่งเป็นนักปีนเขาชาวฝรั่งเศส และ François Henry ซึ่งเป็นนักปีนเขาชาวเบลเยียม ทำให้ทั้งสองกลุ่มร่วมเดินทางไปด้วยกัน โดยในวันแรกของการเดินทางเส้นทางการปีนเขาเป็นไปอย่างไม่ยากลำบากนัก
เช้าวันที่ 2 ทั้งสองกลุ่มออกเดินทางตอนเวลาตี 4 ในวันคริสต์มาสในสภาพอากาศที่ท้องฟ้าใสและมีแดดเป็นใจ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง เส้นทางในการเดินทางกลับมีอุปสรรคและมีอันตรายเพิ่มมากขึ้น ทำให้ Walter Bonatti และเพื่อนของเขาตัดสินใจที่จะหยุดและมองหาเส้นทางที่ปลอดภัยในการไต่ขึ้นไปยังเส้นทางที่ถูกเรียกว่า Brenva Spur

แต่กลุ่มของ Jean Vincendon และ François Henry ตัดสินใจปีนขึ้นไปโดยตรง ทำให้ทั้งสองกลุ่มแยกกันปีนเขาแบบขนานกันไป จนกระทั่งเวลา 4 โมงเย็น กลุ่มของ Walter Bonatti สามารถปีนขึ้นไปอยู่สูงกว่ากลุ่มของ Vincendon อยู่ประมาณ 100 เมตร ซึ่งพวกเขาใกล้จะถึงปลายยอดเขาแล้ว
ในขณะเดียวกันความมืดและพายุหิมะที่รุนแรงได้กำลังก่อตัวขึ้น ทำให้ทั้งสองกลุ่มจำเป็นต้องสร้างที่พักชั่วคราว ณ ความสูง 4,100 เมตร ซึ่ง Walter Bonatti สามารถผ่านคืนอันหนาวเหน็บนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เพื่อนของเขา Gheser เริ่มมีอาการหิมะกัดที่บริเวณเท้าข้างหนึ่ง
ในวันที่ 26 ธันวาคม Bonatti และเพื่อนของเขาได้ลดระดับลงมาเพื่อกลับไปหากลุ่มของ Vincendon ทำให้ทั้ง 4 คนกลับมาร่วมเดินทางด้วยกันอีกครั้ง จนพวกเขาเดินทางถึงเส้นทางที่ถูกเรียกว่า Col de Brenva
ซึ่ง ณ ตรงนี้พวกเขามีเพียง 2 ทางเลือก คือ เดินทางลงเขาตรงกลับไปยังเมือง Chamonix ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเส้นทางจะไม่ปลอดภัยนักและเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หิมะถล่มได้ทุกเมื่อ หรือเดินทางขึ้นไปยังยอดเขา Mont Blanc แล้วกลับไปลงในอีกเส้นทางหนึ่งที่ปลอดภัยกว่าในเขตของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมีระยะทางในการเดินทางที่ไกลกว่าอีกด้วย

โดย Walter Bonatti ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินทางขึ้นไปยังยอดเขา Mont Blanc ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาทั้ง 4 คน ต้องปีนขึ้นไปในระยะทางกว่า 500 เมตร ท่ามกลางพายุหิมะ ซึ่ง Bonatti ได้รีบเร่งให้คนอื่นๆ ปีนขึ้นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากเขารู้ว่าตอนนี้มีเวลาจำกัด เพราะ Gheser เพื่อนของเขาได้มีการอาการหิมะกัดมือและเท้าอย่างรุนแรง
แต่กลุ่มของ Vincendon กลับหมดแรงและตัดสินใจที่จะกลับลงไปยังเมือง Chamonix ทั้งที่เหลือเพียงอีกแค่ 200 เมตร พวกเขาก็จะถึงยอดเขา Mont Blanc แล้ว ทำให้ทั้งสองกลุ่มได้แยกทางกันอีกครั้ง
Walter Bonatti และเพื่อนของเขาสามารถเดินทางถึงยอดเขา Mont Blanc และเข้าสู่ที่หลบภัยบนภูเขา ณ จุดที่ถูกเรียกว่า Vallot Hut ได้สำเร็จในเวลากลางคืน แต่เพื่อนของเขาก็ต้องเสียนิ้วจากอาการหิมะกัด และในวันที่ 27 ธันวาคม พวกเขาก็สามารถลงเขากลับไปยังจุดปลอดภัยเพื่อรอความช่วยเหลือจากเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย ซึ่งได้มารับพวกเขาในวันที่ 30 ธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่ม Vincendon พวกเขาเดินทางลงมาได้เพียงเล็กน้อยก็ถึงเวลากลางคืน ทำให้พวกเขาต้องพักอยู่ ณ บริเวณรอยแยกของธารน้ำแข็ง ที่มีความสูง 4,600 เมตร ซึ่งทั้ง Vincendon และ François Henry ต่างก็เหนื่อยล้าและมีอาการน้ำแข็งกัดอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาได้แต่รอความช่วยเหลืออยู่ ณ บริเวณนั้น

แต่ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย ทำให้ทีมกู้ภัยไม่สามารถช่วยเหลือทั้งสองได้และยังทำให้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยตกระหว่างการดำเนินภารกิจอีกด้วย ซึ่งในท้ายที่สุดนักปีนเขาทั้งสองก็ได้เสียชีวิตหลังผ่านไป 10 วัน โดยกว่าจะเก็บกู้ร่างของนักปีนเขาทั้งสองก็ใช้เวลาไปกว่า 3 เดือน

ซึ่งนี้คือโศกนาฏกรรมที่ถูกเรียกว่า “The Vincendon and Henry tragedy” ที่ต่อมาเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การปฏิวัติวิธีการและขั้นตอนในการกู้ภัยบนภูเขาของประเทศฝรั่งเศส และชื่อของนักปีนเขาทั้งสองได้ถูกจารึกไว้อย่างมีเกียรติ ณ สุสานเมือง Chamonix ประเทศฝรั่งเศส

และชื่อเสียงของ Walter Bonatti กลายมาเป็นที่โด่งดังและถูกยกให้เป็นแรงบันดาลใจในการพิชิตยอดเขาของชาวอิตาลี ที่ก่อให้เกิดนักปีนเขาชาวอิตาลีรุ่นใหม่อย่าง Reinhold Messner ผู้สืบสานเจตจำนงค์การปีนเขาแบบ Solo Climbing ที่เขานั้นเป็นชายคนแรกในโลกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไม่ใช่ถังออกซิเจนช่วย

ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเหล่านี้ ยังได้ถูกส่งต่อมายังเหล่าช่างทำรองเท้าของประเทศอิตาลี ไม่เว้นแม้แต่รุ่นลูกอย่าง Francesco Delladio ที่เขาตระหนักและเข้าใจเป็นอย่างดีว่า “ต้องทุ่มเทในการพัฒนาและออกแบบรองเท้าบูทสำหรับไต่เขาให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด เพราะเหล่าผู้พิชิตยอดกำลังฝากชีวิตของตัวเองไว้ในรองเท้าบูทชั้นเยี่ยมเหล่านี้”

สำหรับประวัติแบรนด์ La Sportiva ตอนที่ 1: จุดเริ่มต้นและตำนานของเหล่าผู้พิชิตยอดเขาจากอิตาลี ทางเราก็ต้องขอจบไว้เพียงเท่านี้ และในตอนต่อไปจะเป็นเรื่องราวของจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่ยุคใหม่จากการพิชิตยอดเขาไปสู่กีฬาปีนหน้าผาและกีฬาวิ่งเทรลของแบรนด์ La Sportiva โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
อ่านต่อตอนที่ 2 ผู้เขียนประวัติศาสตร์รองเท้าปีนผา ได้ที่นี่เลยครับ
และแบรนด์ La Sportiva ได้เข้ามายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งท่านใดที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถติดตามได้ในช่องทาง FB: La Sportiva Thailand ได้เลยครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน