ประวัติแบรนด์ La Sportiva: ตอนที่ 3 จุดเริ่มต้นสู่รองเท้าวิ่งภูเขา

Related Articles

วันนี้เรามาต่อกันในตอนที่ 3 ของประวัติแบรนด์ La Sportiva ซึ่งในตอนที่ผ่านมาหลังจากรุ่นที่ 3 ของตระกูล Delladio อย่าง Lorenzo Delladio ได้นำความคลั่งไคล้ของเขาบุกเบิกเข้าสู่ตลาดกีฬาปีนผา จนทำให้แบรนด์ La Sportiva กลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จต่างๆ ในหน้าประวัติศาสตร์กีฬาปีนผา

และในตอนนี้จะเป็นเรื่องราวของจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการกีฬาวิ่งเทรลและวิ่งภูเขา รวมทั้งเหล่าความสำเร็จของแบรนด์ La Sportiva ซึ่งจะน่าสนใจเพียงใด เชิญติดตามได้เลยครับกับตอนที่ 3 จุดเริ่มต้นสู่รองเท้าวิ่งภูเขา

ปล. ท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านประวัติแบรนด์ La Sportiva สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่ (แนะนำให้อ่านเรียงดังนี้)

The Slingshot รองเท้าวิ่งภูเขาคู่แรกของแบรนด์ La Sportiva

แบรนด์ La Sportiva ส่งรองเท้าวิ่งภูเขาคู่แรกของแบรนด์ไปเปิดตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2005 ในชื่อรุ่นที่ถูกเรียกว่า “La Sportiva Slingshot” ซึ่งทางแบรนด์ La Sportiva เลือกที่จะนิยามรองเท้าของพวกเขาว่า “รองเท้าวิ่งภูเขา” หรือ “Mountain Running Shoes” แทนที่คำว่า Trail Running Shoe (รองเท้าวิ่งเทรล) เพื่อต้องการสื่อถึงความทนทาน ความน่าเชื่อถือและความปราดเปรียวที่เหมือนดั่งการแข่งขันวิ่งภูเขาของทางยุโรป

La Sportiva Slingshot รองเท้าวิ่งภูเขาคู่แรกของแบรนด์ La Sportiva ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2005

La Sportiva Slingshot เปิดตัวมาด้วยสีดำแดงเหลืองที่โดดเด่นสะดุดตาและมาพร้อมกับน้ำหนักของรองเท้าที่เบาเพียง 283 กรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งเทรลที่เบาที่สุดในยุคสมัยนั้น รวมทั้งมาพร้อมกับราคาเปิดตัว $75 (หรือในปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ 3,2xx บาท) ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่ารองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์อื่น ณ เวลานั้น ที่ส่วนใหญ่มักจะมีราคาที่สูงกว่า $85

นอกจากนี้ La Sportiva Slingshot ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีดอกยางเหนียว FriXion XT ที่ทางแบรนด์ La Sportiva วิจัยและพัฒนาต่อยอดมาจากพื้นยางของรองเท้าปีนผา ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านของการยึดเกาะพื้นผิวที่เป็นหินได้ดีเป็นพิเศษ

La Sportiva Slingshot ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีดอกยางเหนียว FriXion XT ที่ทางแบรนด์ La Sportiva วิจัยและพัฒนาต่อยอดมาจากพื้นยางของรองเท้าปีนผา ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านของการยึดเกาะพื้นผิวที่เป็นหินได้ดีเป็นพิเศษ

ทำให้นิตยสารเกี่ยวกับการวิ่งชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Runner’s World ให้ความเห็นว่า “La Sportiva Slingshot เหมาะสำหรับนักวิ่งเทรลที่ต้องการรองเท้าสำหรับใช้ในการแข่งขัน เพราะรองเท้าคู่นี้มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการยึดเกาะพื้นและการทำความเร็ว ซึ่งเรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อการแข่งขันวิ่งขึ้นยอดเขาด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นนักวิ่งที่กำลังมองหาความนุ่มและการรองรับแรงกระแทกก็ขอให้ลืมคู่นี้ไปได้เลย”

La Sportiva Slingshot มาพร้อมกับน้ำหนักของรองเท้าที่เบาเพียง 283 กรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งเทรลที่เบาที่สุดในยุคสมัยนั้น รวมทั้งราคาเปิดตัว $75 (หรือในปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ 3,2xx บาท) ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่ารองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์อื่น ณ เวลานั้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้อย่างน้ำหนักที่เบา พื้นบางกำลังดี และคุณสมบัติในการเกาะพื้นของดอกยาง รวมไปถึงในด้านของราคา ทำให้หลังจากที่วางจำหน่าย มันก็ได้ไปเตะตาของนักวิ่งหนุ่มไฟแรงอย่าง Anton Krupicka เข้าอย่างจัง ที่ ณ เวลานั้น เขายังเป็นเพียงนักศึกษาหนุ่มวัย 22 ปี ที่ไม่มีผลงานในการแข่งขันใดๆ เลย และกำลังตัดสินใจที่จะลงแข่งขันในงานแข่ง Leadville Trail 100 ในปี 2006 ซึ่งเป็นการลงแข่งขันวิ่งเทรลระยะทางไกล 100 ไมล์ (หรือ 160.9 กิโลเมตร) ครั้งแรกในชีวิตของเขา

Anton Krupicka นักวิ่งเทรลชาวอเมริกัน ในปัจจุบัน

และในฤดูใบไม้ผลิของปี 2005 Anton Krupicka แม้ว่าจะอยู่ในฐานะของรุ่นพี่ที่ใกล้จะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านฟิสิกส์และปรัชญาในวิทยาลัย Colorado College แต่เขาก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทุ่มเทฝึกซ้อมในการวิ่งอย่างจริงจังบนเส้นทางของสนามแข่ง Leadville Trail 100

โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจาก โคตรตำนานนักวิ่งเทรลอย่าง Matt Carpenter ที่ ณ เวลานั้น อายุครบ 41 ปี และสามารถทำลายสถิติสนามแข่ง Leadville Trail 100 ในปี 2005 ด้วยเวลาเพียง 15 ชั่วโมง 42 นาที 59 วินาที ซึ่งเป็นสถิติที่แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิ่งคนใดในโลกที่สามารถล้มสถิตินี้ลงได้

ความรู้เพิ่มเติม

  • โคตรตำนาน Matt Carpenter เขาคือนักวิ่งเทรลชาวอเมริกันที่ฝากผลงานในสนามแข่งวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของแชมป์ Pikes Peak Marathon 18 สมัย (แบ่งเป็นระยะมาราธอน 12 สมัย และระยะฮาล์ฟมาราธอนวิ่งถึงยอดเขา 6 สมัย) โดยเขาได้ทำสถิติสนามในระยะมาราธอนไว้ในปี 1993 ด้วยเวลา 3 ชั่วโมง 16 นาที 39 วินาที
โคตรตำนาน Matt Carpenter เขาคือนักวิ่งเทรลชาวอเมริกันที่ฝากผลงานในสนามแข่งวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาไว้อย่างมากมาย ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ Anton Krupicka
  • ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิ่งคนใดที่สามารถทำลายสถิตินี้ลงไปได้ แม้แต่ Kilian Jornet จากทีม Salomon เองที่ในปี 2019 พยายามที่จะล้มสถิตินี้ แต่ก็พลาดและจบลงด้วยเวลาที่ดีที่สุดของเขาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง 27 นาที 28 วินาที เท่านั้น
  • และ Matt Carpenter ยังเป็นเจ้าของแชมป์ Vail Hill Climb 8 สมัย, Imogene Pass Run 6 สมัย, และ Barr Trail Mountain Race, Everest SkyMarathon Tibet, Aspen SkyMarathon อย่างละ 5 สมัย และงานแข่งอื่นๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วน โดยแต่ละงานแข่งที่เขาไปเยือน สถิติสนามก็จะถูกทำลายแทบทั้งสิ้น
  • และในปี 1990 ที่ ณ ศูนย์ฝึกซ้อมนักกีฬาโอลิมปิกของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการตรวจวัดอัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุดของร่างกายในขณะออกกำลังกาย (หรือ VO2 max) ของ Matt Carpenter แล้วพบว่า เขามีค่า VO2 max ที่สูงถึง 90.2 มล./กก./นาที ซึ่งสูงที่สุดในยุคสมัยนั้น (Kilian Jornet มีค่า VO2 max อยู่ที่ 92 มล./กก./นาที) นอกจากนี้ เขายังถูกยกย่องให้เป็น “นักวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของโลก” อีกด้วย
ความโด่งดังของ Matt Carpenter บนหน้านิตยสารเกี่ยวกับการวิ่งในยุคอดีต

ซึ่ง Anton Krupicka วางแผนที่จะลงแข่งขัน Leadville Trail 100 ในปี 2006 และเป็นตัวของเขาเองที่ไปซื้อ La Sportiva Slingshot มาใช้ เนื่องด้วยความชื่นชอบส่วนตัวในรองเท้าที่มีพื้นบางและมีน้ำหนักเบา รวมทั้งราคาที่นักศึกษาในยุคนั้นสามารถจับต้องได้ ซึ่งเขาหมายมั่นที่จะชนะในการแข่งขันครั้งนี้เป็นอย่างมาก

เขากล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดที่จะทำลายสถิติของ Matt Carpenter หรอก แต่ผมต้องการจะจบด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 17 ชั่วโมง และเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกก็เท่านั้น”

และหนึ่งอาทิตย์ก่อนการแข่งขัน เขาและทีมผู้ช่วย ซึ่งคือเพื่อนๆ จากวิทยาลัย Colorado College ก็มารวมตัวกัน เตรียมที่จะเป็นคนวิ่งนำและคอยช่วยเหลือเขาในระหว่างการแข่งขัน โดยในอาทิตย์สุดท้ายนี้ พวกเขาฝึกซ้อมกันบนเส้นทางของสนามแข่งจริง เพื่อสร้างความมั่นใจในการแข่งขัน

ภาพก่อนการแข่งขัน Leadville 100 ในปี 2006 โดยมี Julian Boggs (ซ้าย) และ Alex Nichols (ขวา) ที่มารับหน้าที่เป็นทีมผู้ช่วยของ Anton Krupicka (กลาง) ในระหว่างการแข่งขัน ซึ่ง Anton Krupicka ได้สวมใส่รองเท้า La Sportiva Slingshot

และคืนก่อนการแข่งขันก็ได้มาถึง แต่มันกลับกลายเป็นค่ำคืนที่จะแสนเลวร้าย เมื่อมีพายุเข้าเมือง Leadville อย่างหนัก ทำให้เขาและทีมผู้ช่วยไม่มีที่พัก เนื่องจากไม่มีจุดที่สามารถกางเต็นท์นอนบริเวณด้านนอกได้ ซึ่งในท้ายที่สุด พวกเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปนอนในห้องน้ำสาธารณะและรอจนกว่าจะถึงเช้าวันแข่ง

เพื่อนๆ ของเขาเล่าว่า “มันเป็นค่ำคืนที่ไม่ดีนัก พวกเรานอนหลับไม่เต็มอิ่ม หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน แต่ในตอนเช้าที่พวกเราไปถึงจุดปล่อยตัว เราเห็นว่า Anton Krupicka กำลังยืนอยู่หน้าเส้นด้วยท่าทีที่สงบและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก”

และในการแข่งขันในปีนั้นได้เริ่มต้นขึ้นอย่างราบรื่น Anton Krupicka สามารถเกาะกลุ่มนำที่นำโดยนักแข่งที่เจนสนามอย่าง Karl Meltzer เป็นระยะทางกว่า 50 กม. จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ขึ้นนำ จนไปถึง Twin Lakes หรือราวๆ กิโลเมตรที่ 62 ซึ่ง ณ เวลานี้ เขาได้ทิ้งห่างจากกลุ่มและเขาตัดสินใจเร่งเครื่องขึ้นไปยัง Hope Pass เพื่อสร้างระยะห่างให้มากที่สุดกับกลุ่มนักวิ่งด้านหลัง

แผนที่การแข่งขัน Leadville Trail 100 Run
Anton Krupicka หลังจากวิ่งลงจาก Sugarloaf Pass
Anton Krupicka ณ Twin Lakes ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปยังเส้นทาง Hope Pass

เมื่อเขาวิ่งไปถึง Winfield เพื่อนของเขาที่รออยู่แล้วอย่าง Alex Nichols ก็วิ่งนำเขา ทำให้เขาวิ่งได้สบายขึ้น แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นไฟแรง เขาก็วิ่งทิ้งเพื่อนของเขาหลังจากที่วิ่งลงจาก Hope Pass และลากยาวไปถึง Sugarloaf Pass

Anton Krupicka เล่าว่า “ผมรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่ผมวิ่งทิ้ง Alex แต่ผมก็แค่รู้สึกว่าผมยังวิ่งไหวและรู้สึกดีไปกับมัน ผมเลยเร่งตามความรู้สึกก็เท่านั้น”

แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์และไม่รู้จักการออมแรง ทำให้เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 133 บนเส้นทางที่ต้องวิ่งบนถนนลาดยาง ทำให้เขาเกิดภาวะชนกำแพงขึ้นจนทำให้วิ่งต่อไปไม่ไหวและต้องเปลี่ยนมาเดินแทน ซึ่งเขาเริ่มคิดที่จะออกจากการแข่งขัน แต่เมื่อกลับลงไปวิ่งบนทางเทรล เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีแรงอีกครั้ง ซึ่ง ณ จุดนี้ เขารู้แล้วว่าเขาจะชนะงานแข่ง แต่เขาก็อยากที่จะจบมันด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 17 ชั่วโมงให้ได้

เขากล่าวว่า “เมื่อเท้าผมสัมผัสกับดินอีกครั้ง ผมก็เริ่มรู้สึกกลับมามีแรงวิ่งต่อ ซึ่งผมต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเส้นชัย”

Anton Krupicka และ Alex Nichols ในช่วงท้ายของการแข่งขัน

ในท้ายที่สุด Anton Krupicka สามารถพาตัวของเขาเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกด้วยเวลา 17 ชั่วโมง 1 นาที 56 วินาที และแม้ว่าจะพลาดเป้าเวลาต่ำกว่า 17 ชั่วโมง แต่เขาก็ภูมิใจเป็นอย่างมาก ซึ่งนี้ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์แจ้งเกิดของเขาเลยก็ว่าได้ ที่เปลี่ยนจากนักวิ่งไร้ชื่อกลายมาเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา

Anton Krupicka สามารถพาตัวของเขาคว้าชัยเป็นคนแรกด้วยเวลา 17 ชั่วโมง 1 นาที 56 วินาที ในการแข่งขัน Leadville 100 ในปี 2006

เขากล่าวว่า “การจบการแข่งขัน 100 ไมล์ครั้งแรกของผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับผมได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปยังสถานที่ใหม่ๆ และมันเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของผม ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า ทุกอย่างเป็นไปได้และด้วยความพยายามแต่ละก้าว มันทำให้ผมเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมทีละน้อย”

“และเพื่อที่จะทำให้ผมเติบโตขึ้น ผมรู้ดีว่า ผมต้องลงมือทำในสิ่งที่ยาก ซึ่งนั่นคือการแข่งขันวิ่งระยะทางไกลที่เป็นเสมือนอุปสรรคและตัวทำลายความหยิ่งยโสชั้นดีของผม ซึ่งมันสามารถทำให้พวกเราทุกคนแทบจะลงไปนอนอยู่กับพื้นดิน และนั่นคือเสน่ห์ของความยอดเยี่ยมในการแข่งขันวิ่งระยะทางไกล”

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องตลกที่ถูกเล่าขานเกี่ยวกับเขาจากผู้คนในเมือง Leadville ว่า “เขาคือชายผู้ที่นอนในห้องน้ำในคืนก่อนการแข่งขันและตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นแชมป์ของสนาม Leadville 100 ไปแล้ว” รวมทั้งผู้คนที่ไม่รู้จักชื่อของเขาก็มักจะเรียกเขาว่า “นักวิ่งที่เหมือนกับพระเยซู​คริสต์” เพราะเขามักจะถอดเสื้อวิ่ง ไว้ผมยาวและมีหนวดเคราที่รุงรัง

สู่ความสำเร็จทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา

ข่าวการชนะงานแข่ง Leadville 100 ของ Anton Krupicka ในปี 2006 ได้ถูกป่าวประกาศไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ในอเมริกาเหนือ ณ ขณะ นั้น อย่าง Buzz Burrell ถึงกับอุทานว่า “คนบ้าคนนั้นคือใครกันที่ใส่รองเท้า La Sportiva Slingshot แล้วชนะการแข่งขัน Leadville 100 และยังจบด้วยเวลาที่เร็วเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์รองจากสถิติของ Matt Carpenter เท่านั้น?”

Buzz Burrell อดีตนักวิ่งเทรลชาวอเมริกัน ที่ผันตัวกลายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ซึ่งในภายหลังเขาจะกลายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Ultimate Direction

ซึ่งไม่นานนักหลังจากที่ Buzz Burrell ได้ออกตามหาตัวของ Anton Krupicka แล้วเสนอการเป็นสปอนเซอร์หลักให้แก่เขาและถือได้ว่าแบรนด์ La Sportiva เป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาสนับสนุน Anton Krupicka ซึ่ง ณ เวลา นั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่แบรนด์ La Sportiva กำลังวางแผนในการจัดตั้งทีมแข่งขันวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาในสหรัฐอเมริกาขึ้น

และในเดือนมีนาคมปี 2007 Anton Krupicka ได้เซ็นต์สัญญาเข้าร่วมทีม La Sportiva Mountain Running Team อย่างเป็นทางการ โดยในปีแรก พวกเขามีนักกีฬาเพียง 2 คน  เท่านั้น คือ Anton Krupicka และนักวิ่งหญิงอย่าง Anita Ortiz

และแม้ว่าจะมีนักกีฬาเพียง 2 คน แต่ Anton Krupicka ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขานั้นไม่ธรรมดาและไม่ใช่เป็นเพราะโชคช่วยที่ทำให้เขาชนะในงานแข่ง Leadville 100 เพราะภายในปี 2007 เขาได้ชนะงานแข่ง Rocky Raccoon 100 และกลับไปลงแข่งในสนาม Leadville 100 อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ เขาคว้าชัยด้วยเวลา 16 ชั่วโมง 14 นาที 35 วินาที และทุกสนามที่เขาลงแข่ง เขาก็จะเลือกใช้ La Sportiva Slingshot คู่ใจของเขาอยู่เสมอ

Anton Krupicka กับ La Sportiva Slingshot คู่ใจของเขา ในปี 2007

นอกจากนี้ ในปี 2007 ยังเป็นปีที่ทางแบรนด์ La Sportiva ส่งรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่ 2 รุ่น อย่างรุ่น Fireblade และ Raceblade ที่ต่อยอดมาจากรุ่น Slingshot เข้าสู่ตลาดอเมริกา โดยในครั้งแรกที่เปิดตัว La Sportiva รุ่น Fireblade ก็ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World ในปี 2007

(ซ้าย) La Sportiva Fireblade และ (ขวา) La Sportiva Raceblade ในปี 2007
La Sportiva Fireblade ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World ในปี 2007

ต่อมาในปี 2008 แบรนด์ La Sportiva เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่อย่างรุ่น Crosslite ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีดอกยางที่จะเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญของแบรนด์อย่างเทคโนโลยี Impact Brake System ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ร่วมกันพัฒนาและวิจัยระหว่างทีมออกแบบของแบรนด์ La Sportiva ในประเทศอิตาลีกับแบรนด์ Vibram เพื่อคิดค้นดอกยางที่สามารถช่วยรองรับแรงกระแทกได้

La Sportiva Crosslite รองเท้าวิ่งภูเขาคู่แรกของแบรนด์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Impact Brake System

โดยผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า “เทคโนโลยีดอกยาง Impact Brake System สามารถช่วยลดแรงกระแทกขณะลงเท้าได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีผลช่วยลดความล้าสะสมในเท้า ขา สะโพกและหลังของนักวิ่งระยะทางไกลได้” นอกจากนี้ “การออกแบบรูปทรงของดอกยางแบบสวนทิศทางยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นให้สูงขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์”

เทคโนโลยีดอกยาง Impact Brake System สามารถช่วยลดแรงกระแทกขณะลงเท้าได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นให้สูงขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

ทำให้หลังจากการวางจำหน่ายรุ่น Crosslite ในปี 2008 นิตยสาร Runner’s World ได้มอบรางวัล “รองเท้าวิ่งที่ต้องซื้อแห่งปี 2008 (Best Buy Award)” ที่เป็นเสมือนการบ่งบอกว่า La Sportiva Crosslite คือรองเท้าวิ่งเทรลที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในปี 2008

La Sportiva Crosslite ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งที่ต้องซื้อแห่งปี 2008 (Best Buy Award)” จากนิตยสาร Runner’s World อีกครั้ง

นอกจากนี้ภายในปี 2008 แบรนด์ La Sportiva ยังมีการเปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาอีก 2 รุ่น คือ รุ่น Skylite ที่เป็นเสมือนพี่น้องกับรุ่น Crosslite ซึ่งจะแตกต่างกันเพียงแค่ดอกยาง ที่รุ่น Skylite จะใช้เป็นดอกยางสั้น ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักที่เบาขึ้น เพื่อใช้ในการแข่งขันเป็นหลัก และอีกหนึ่งรุ่นคือ Imogene ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งเทรลเอนกประสงค์ที่มีความนุ่มที่สุดของแบรนด์ โดยถูกออกแบบมาเพื่อเหล่านักวิ่งมหาชนโดยเฉพาะ

(ซ้าย) La Sportiva Skylite และ (ขวา) La Sportiva Imogene

ซึ่ง ณ เวลานี้ ชื่อเสียงของรองเท้าวิ่งภูเขาแบรนด์ La Sportiva ได้กลายมาเป็นที่ยอมรับกันในทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ในปี 2008 ยอดขายรองเท้าวิ่งภูเขาเฉพาะในแถบทวีปอเมริกาเหนือของแบรนด์ La Sportiva ได้พุ่งสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปิดท้ายปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี ของแบรนด์ La Sportiva ได้อย่างสวยงาม

ฉลองครบรอบ 80 ปี ของแบรนด์ La Sportiva

ความรู้เพิ่มเติม

  • หลังจากปี 2008 Anton Krupicka ได้ออกจากทีม La Sportiva แล้วเข้าไปเซ็นต์สัญญากับแบรนด์ New Balance ทำให้ในปี 2010 แบรนด์ New Balance ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งเทรลที่ Anton Krupicka เป็นผู้ออกแบบอย่าง New Balance ตระกูล Minimus ที่เป็นการนำปรัชญาของวิถีแห่ง Minimalist ที่เขาศรัทธามาใช้ในการออกแบบ
New Balance ตระกูล Minimus ในปี 2010 ที่ถูกออกแบบโดย Anton Krupicka
  • จนกระทั่งในช่วงปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยี Fresh Foam ของแบรนด์ New Balance กำลังแจ้งเกิด ทำให้ทางแบรนด์ New Balance ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการแข่งขันวิ่งเทรลอีกต่อไปและหันไปทุ่มเทให้กับตลาดมหาชนมากขึ้น ทำให้ก่อให้เกิดรองเท้าวิ่งเทรลมหาชนตระกูล Hierro รุ่นแรก
  • เรื่องนี้ส่งผลให้ Anton Krupicka ต้องออกจากแบรนด์ New Balance ไป และกลับมาเซ็นต์สัญญากับแบรนด์ La Sportiva อีกครั้งในปี 2016 และกลายมาเป็นหนึ่งในนักแข่งหลักของทีม La Sportiva จนถึงปัจจุบัน

และต่อมาในช่วงปี 2009 ถึง 2010 แบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาออกมาอีกหลายต่อหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Lynx, Wildcat, Crossover และ Raptor จนกระทั่งในปี 2011 เทคโนโลยีที่สั่นสะเทือนวงการวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ได้มาถึงอีกครั้ง นั่นคือ เทคโนโลยี MorphoDynamic

ต่อมาในช่วงปี 2009 ถึง 2010 แบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาออกมาอีกหลายต่อหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Lynx, Wildcat, Crossover และ Raptor
เทคโนโลยี MorphoDynamic

และสำหรับประวัติแบรนด์ La Sportiva ตอนที่ 3: จุดเริ่มต้นสู่รองเท้าวิ่งภูเขา ทางเราต้องขอจบไว้ ณ ตรงนี้ และในตอนหน้าเราจะมาต่อกันที่เทคโนโลยีสะเทือนวงการอย่างเทคโนโลยี MorphoDynamic และเหล่าตำนานนักวิ่งภูเขาจากประเทศอิตาลี ประวัติจะน่าสนในแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

อ่านต่อตอนที่ 4 สู่ตำนานรองเท้าวิ่งภูเขาระดับโลก ได้ที่นี่เลยครับ

และแบรนด์ La Sportiva ได้เข้ามายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งท่านใดที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถติดตามได้ในช่องทาง FB: La Sportiva Thailand ได้เลยครับ

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ และสามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน

More on this topic

Popular stories

Training Plan