วันนี้เรามาต่อกันในตอนที่ 4 ของประวัติแบรนด์ La Sportiva ซึ่งในตอนที่ผ่านมา หลังจากความสำเร็จของรองเท้าวิ่งภูเขารุ่น Slingshot ที่สวมใส่โดย Anton Krupicka ส่งผลให้รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva กลายมาเป็นที่ยอมรับในวงการวิ่งเทรลของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งทำให้แบรนด์ La Sportiva ได้ต่อยอดเทคโนโลยีและเปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาออกมาหลายต่อหลายรุ่นในแต่ละปี จนกระทั่งในปี 2011 ที่ทางแบรนด์ได้ส่งเทคโนโลยีสุดล้ำออกมาอย่างเทคโนโลยี MorphoDynamic ที่จะเป็นที่สั่นสะเทือนในวงการวิ่งภูเขาของโลก และเทคโนโลยีนี้จะน่าสนใจเพียงใดและหน้าประวัติศาสตร์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เชิญติดตามได้เลยครับ

นวัตกรรมรองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva
ในปี 2011 เทคโนโลยีที่สั่นสะเทือนวงการวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ได้มาถึงอีกครั้ง นั่นคือ เทคโนโลยี MorphoDynamic ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นโฟมและดอกยางรูปทรงพิเศษ ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนาเป็นเวลากว่า 2 ปี ระหว่างแบรนด์ La Sportiva กับกลุ่มนักวิ่งภูเขา Skyrunner ในประเทศอิตาลี

โดยเทคโนโลยี MorphoDynamic มีหัวใจหลักอยู่ 2 ประการดังนี้
- หนึ่ง คือ การเข้ามาแก้ไขปัญหารองเท้าวิ่งเทรลที่ไม่กระชับกับเท้าของนักวิ่งอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติในรองเท้าวิ่งเทรลทุกรุ่น
- สอง คือ การออกแบบรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น โดยที่รองเท้ายังมีน้ำหนักที่เบา
ซึ่งปัญหารองเท้าวิ่งเทรลไม่กระชับกับเท้าของนักวิ่ง ทางแบรนด์ La Sportiva พบว่า มันเกิดจากแม่พิมพ์รูปเท้า (Shoe Lasts) ในขั้นตอนการผลิต ที่ในยุคสมัยนั้น โรงงานผลิตรองเท้ากว่า 95 เปอร์เซ็นต์จะใช้แม่พิมพ์รูปเท้าแบบดั้งเดิม ที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุมและตัดพื้นแบบเรียบตรง ซึ่งทำให้รองเท้าที่ผลิตออกมาไม่สามารถเข้ารูปกับเท้าของมนุษย์ที่มีลักษณะโค้งมนได้

ทำให้ทางแบรนด์ La Sportiva เลือกที่จะแก้ปัญหานี้ โดยการนำแม่พิมพ์รูปเท้าที่ใช้ในรองเท้าปีนผาของแบรนด์ ซึ่งมีลักษณะที่โค้งมนเหมือนดังรูปทรงเท้าของมนุษย์มาประยุกต์ใช้ในการผลิตรองเท้าวิ่งภูเขา โดยเรียกแม่พิมพ์รูปเท้านี้ว่า “Ergonomic Lasts” หรือ “แม่พิมพ์รูปเท้าที่จำลองมาจากหลักสรีรศาสตร์” ส่งผลให้รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva มีความกระชับและเข้ารูปเท้ากว่ารองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์อื่นในท้องตลาด ณ เวลา นั้น

และในส่วนของการออกแบบรองเท้าที่สามารถรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น โดยที่รองเท้ายังมีน้ำหนักที่เบา ทางแบรนด์ La Sportiva ได้คิดค้นพื้นชั้นกลางที่ประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก ดังนี้
- พื้นชั้นกลางด้านบน ที่ใช้วัสดุ EVA ในการรองรับแรงกระแทกและเพิ่มความเสถียร
- พื้นชั้นกลางด้านล่าง ที่ใช้วัสดุ PU ที่มีความนุ่มเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นตัวรองรับแรงกระแทกหลักในรองเท้า โดยเหตุผลที่ถูกวางไว้บริเวณด้านล่างก็เพื่อช่วยดูดซับแรงกระแทกขณะเหยียบลงบนหินหรือกิ่งไม้ (หรือการกลืนหินเข้าไปไว้ในพื้นนั่นเอง)
- ดอกยางเหนียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้น
- แผ่นพลาสติกบริเวณส้นเท้า เพื่อความเสถียรและมั่นคงให้แก่เท้าของนักวิ่ง

นอกจากนี้ ลวดลายของทั้งพื้นชั้นกลางและดอกยางจะมีลักษณะเป็นรูปทรงคลื่นเรียงกัน โดยการออกแบบลักษณะนี้ทางแบรนด์ La Sportiva กล่าวว่า “สามารถช่วยให้รองเท้าปรับตัวไปบนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
โดยรองเท้าวิ่งภูเขา 2 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี MorphoDynamic คือ La Sportiva Quantum ซึ่งเป็นรองเท้าตัวแข่งที่มีหน้าผ้าน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดี และ La Sportiva Electron ที่ไว้ใช้สำหรับซ้อมและมีหน้าผ้าสวมใส่สบาย ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะใช้พื้นชั้นกลางและดอกยางแบบเดียวกัน (พื้นสูง 20/31 Drop 11 มม.)

และในครั้งแรกที่เปิดตัวออกมา La Sportiva รุ่น Electron ก็ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World ในปี 2011

นอกจากนี้ ภายในปีเดียวกัน แบรนด์ La Sportiva ยังได้เปิดตัวรุ่นสานต่อของรองเท้าวิ่งภูเขายอดนิยมตระกูล Cross อย่างรุ่น Crosslite 2.0 (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 300 กรัม) และ X Country (พื้นสูง 20/26 Drop 6 มม., น.น. 285 กรัม) รวมไปถึงการที่ครอบครัว Delladio ได้ตัดสินใจร่วมมือกับบริษัทผลิตรองเท้าวิ่งยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนอย่าง Fulgent Sun Group ที่เคยผลิตรองเท้าวิ่งภูเขาให้แก่แบรนด์ La Sportiva มายาวนานกว่า 12 ปี ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัท Fujian La Sportiva เพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดรองเท้าวิ่งเทรลในประเทศจีนต่อไป

ความรู้เพิ่มเติม บริษัท Fulgent Sun Group จากประเทศจีนเป็นบริษัทรับผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬากลางแจ้งให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ จากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น The North Face, Under Armour, Merrell, Inov-8, Timberland, Decathlon และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย และยังเป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจให้ผลิตหน้าผ้ากันน้ำอย่าง GORE-TEX อีกด้วย โดยบริษัท Fulgent Sun Group มีฐานการผลิตอยู่ทั้งในประเทศจีน เวียดนามและกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า La Sportiva รุ่น Electron และ Quantum จะเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัย แต่ด้วยน้ำหนักของรองเท้าที่ไม่ได้เบาอย่างที่หลายคนคาดหวังเอาไว้ โดย La Sportiva รุ่น Electron มีน้ำหนักที่มากถึง 371 กรัม และรุ่น Quantum มีน้ำหนักอยู่ที่ 368 กรัม ทำให้ทั้งสองรุ่นยังไม่สามารถตอบโจทย์การเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับใช้ในการแข่งขันอย่างที่มันควรจะเป็นได้
ทำให้ในปี 2012 แบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะสั้นรุ่นใหม่ที่เป็นการนำเอาเทคโนโลยี MorphoDynamic มาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Vertical K” ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้กลายมาเป็นที่ฮือฮากันไปทั่วทั้งโลก เพราะนี้คือรองเท้าวิ่งภูเขาที่เบาที่สุดในโลก ณ เวลานั้นจนถูกขนานนามว่า “ปีศาจแห่งยอดเขา”

La Sportiva Vertical K มาพร้อมกับพื้นชั้นกลางและดอกยางรูปทรงคลื่นที่คล้ายกับในรุ่น Electron และ Quantum แต่เป็นการใช้พื้นชั้นกลาง EVA น้ำหนักเบา ที่มีความหนาแน่นเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นการแยกพื้นชั้นกลางออกเป็น 2 ส่วนอีกต่อไป รวมทั้งมีการเปลี่ยนหน้าผ้าให้มีน้ำหนักที่เบาขึ้น ส่งผลให้รองเท้ารุ่นนี้มีน้ำหนักที่เบาเพียง 198 กรัม เท่านั้น (พื้นสูง 11/15 Drop 4 มม.)
ความรู้เพิ่มเติม
- การแข่งขัน Vertical Kilometer หรือ VK เป็นการแข่งขันวิ่งขึ้นภูเขาเพียงอย่างเดียว (Uphill Only) ที่เป็นที่นิยมในแถบทวีปยุโรป โดยการแข่งขันจะเป็นการวิ่งขึ้นเขาที่มีความชันสะสมรวม (Elevation Gain) อยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตร และมีระยะทางที่ไม่เกิน 5 กิโลเมตร (แต่ในบางสนามแข่งมีระยะทางที่เกินกว่า 5 กม. เช่น สนามแข่ง Transvulcania ในประเทศสเปน ที่มีระยะทาง 7.6 กม.)
- โดยสนามแข่งที่มีเปอร์เซ็นต์ความชันมากที่สุดในโลกในอดีต คือ สนามแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่เริ่มการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งสนามแข่งมีระยะทางในการแข่งขันเพียงแค่ 1.92 กม. ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยอยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์ตลอดการแข่งขัน
- แต่ในปัจจุบัน สนามแข่งที่มีเปอร์เซ็นต์ความชันมากที่สุดในโลก คือ สนามแข่ง Verticale du Grand Serre ณ ประเทศฝรั่งเศส ที่ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2010 โดยมีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยถึง 55 เปอร์เซ็นต์ และมีระยะทางในการแข่งขันที่สั้นเพียงแค่ 1.81 กม. เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สนามแข่ง Fully VK ยังคงเป็นสนามแข่งเดียวในโลกที่จะมีการบันทึกสถิติโลก (World Record) ในประเภทการแข่งขันแบบ Vertical Kilometer
- นอกจากนี้ นักวิ่งภูเขาของทางฝั่งยุโรปยังชื่นชอบที่จะล้อเลียนสนามแข่งขัน Vertical Kilometer ของทางฝั่งอเมริกาว่าเป็นสนามแข่งที่ไม่ชันเอาเสียเลย โดยสนามแข่ง Lone Peak Vertical Kilometer ที่จัดขึ้นบนภูเขา Lone Peak ในรัฐมอนแทนา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยเพียงแค่ 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และมีระยะทางกว่า 5 กม.
ซึ่งในครั้งแรกที่เปิดตัว La Sportiva Vertical K ก็ได้รับทั้งรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World และรางวัล “รองเท้าวิ่งที่โดนใจ บก. ในสาขาการออกแบบที่ล้ำสมัยที่สุด (Editors’ Choice – Most Innovative Design award)” จากนิตยสาร Trail Runner Magazine ในปี 2012

สู่ตำนานชายคนแรกของโลกที่ทำลายสถิติการแข่งขัน Fully VK ด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาที
Urban Zemmer (เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1970 ปัจจุบันอายุ 51 ปี) เขาคือนักวิ่งภูเขาชาวอิตาลี ผู้มีอาชีพเป็นช่างประปาและทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก ณ ทุ่งหญ้า Alpe di Siusi ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี

โดยกิจวัตรประจำวันของเขา คือ การตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปดูแลคอกวัว หลังจากนั้น เขาก็จะไปทำงานเป็นช่างประปาตลอดทั้งวันจนกระทั่งเลิกงานในตอนเย็น ซึ่งบ้านที่เขาอาศัยอยู่ถูกรอบล้อมไปด้วยทุ่งหญ้า ป่า และภูเขาที่สูงชัน

Urban Zemmer พึ่งมาสวมใส่รองเท้าวิ่งภูเขาครั้งแรกในวัย 34 ปี ซึ่งในอดีตเขาไม่เคยแม้แต่ที่จะคิดใส่ใจในการแข่งขันกีฬามาก่อน จนกระทั่งเขาเกิดประสบอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการทำงาน ทำให้ต้องเข้าพบแพทย์ โดยแพทย์ได้แนะนำให้เขาออกกำลังกาย เช่น การปั่นจักรยานหรือวิ่ง ซึ่งเขาก็ได้ปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ
ซึ่งหลังจากทดลองออกกำลังกาย เขาได้ค้นพบว่าตัวของเขานั้นดูจะมีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถเอาชนะเหล่าเพื่อนๆ ของเขาในการแข่งขันกีฬา ทำให้เขาได้เริ่มฝึกซ้อมและจริงจังในการลงแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ เช่น สกีครอสคันทรีและวิ่งภูเขา ซึ่งต่อมามันได้กลายมาเป็นความหลงไหลในกีฬาที่เขาใฝ่หา

และแม้ว่าเขาจะไม่มีเวลาฝึกซ้อมทั้งวันเหมือนกับนักกีฬาอาชีพ แต่เขาก็จะสละเวลาทุกเย็นหลังเลิกงานในเวลา 5 โมงเย็น เพื่อมาฝึกซ้อม โดยการวิ่งขึ้นลงภูเขาที่สูงชันใกล้ๆ บ้านของเขา เพราะเป็นสถานที่เดียวที่สะดวกที่สุดและไม่ต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางออกไป นอกจากนี้เขายังได้ตั้งกฏในการฝึกซ้อมขึ้นมาว่า “ต้องกลับบ้านก่อนพลบค่ำ” เท่านั้น

และในปี 2009 เขาได้เข้าร่วมการแข่งขัน Skyrunning European Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer ที่ถูกจัดขึ้น ณ หมู่บ้าน Canazei ในประเทศอิตาลี ซึ่งไม่ห่างจากบ้านของเขานัก โดยสนามแข่งนี้มีระยะทางเพียง 2.1 กม. ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยที่มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็สามารถคว้าแชมป์สนามแข่งนี้มาได้ ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ชมว่านี่คือนักกีฬาวัย 39 ปี
ยิ่งไปกว่านั้นในปีต่อมา เขายังสามารถคว้าแชมป์งานแข่ง Skyrunning World Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer ในปี 2010 ที่ถูกจัดขึ้น ณ หมู่บ้าน Canazei ได้อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พิเศษตรงที่ว่านี่คือการแข่งขันระดับโลก ที่รวมเอานักวิ่งจากทั่วโลกเข้ามาร่วมในการแข่งขัน และต่อมาในปี 2011 เขาก็ได้คว้าแชมป์ Skyrunning European Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ถูกจัดขึ้น ณ เมือง Valencia ประเทศสเปน

ซึ่งในการแข่งขันทั้งสามครั้งนี้ เขาได้สวมใส่รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva รุ่น Crosslite (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 311 กรัม) จนกระทั่งในปี 2012 ที่รองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่ที่ถูกขนานนามว่า “ปีศาจแห่งยอดเขา” อย่างรุ่น “Vertical K” ได้มาถึงมือของ Urban Zemmer และต่อจากนี้จะกลายเป็นปีแห่งการเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของแบรนด์ La Sportiva
ในปี 2012 Urban Zemmer ลงแข่งขันในงานแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ซึ่งถือเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแข่งขันประเภท Vertical Kilometer โดยในครั้งนั้น เขาสามารถคว้าแชมป์และทุบสถิติสนามแข่งด้วยเวลา 30 นาที 26 วินาที และกลายเป็นสถิติโลกใหม่ ณ เวลานั้น
และในปี 2013 เขาก็ได้ลงแข่งขันงานแข่ง Fully VK อีกครั้ง และได้คว้าแชมป์เป็นสมัยที่สอง ด้วยเวลา 30 นาที 54 วินาที อย่างไรก็ตาม สถิติสนามแข่งที่ต่ำกว่า 30 นาที ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มีการจัดการแข่งขัน Fully VK ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2001 ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 13 ปีเต็ม

จนกระทั่งในปี 2014 เขาลงแข่งขันงานแข่ง Fully VK อีกครั้ง และในครั้งนี้ เขากล่าวว่า “ผมเข้าร่วมงานแข่ง Fully VK เพื่อที่จะชนะเท่านั้นและผมไม่คิดถึงสถิติโลกเหล่านั้นหรอก ซึ่งในการแข่งขันครั้งก่อนๆ สภาพอากาศที่ร้อนดูจะไม่เป็นใจกับผมเท่าไรนัก ทำให้ผมไม่สามารถคาดหวังในการทำลายสถิติได้ แต่ผมก็รู้เพียงว่าผมจะวิ่งอย่างเต็มแรงก็เท่านั้น”
Urban Zemmer ตระหนักเป็นอย่างดีว่า เขาสามารถทำสถิติเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาทีได้ แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม ปี 2014 ณ เมือง Fully รัฐ Valais ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ท้องฟ้ามีเมฆมาก สภาพอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ย 11 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 76% และแทบไม่มีลมพัด ซึ่งเป็นวันที่มีการจัดการแข่งขัน Fully VK ขึ้น
และ Urban Zemmer วัย 44 ปี เริ่มวิ่งขึ้นเขาไปอย่างเต็มแรงท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงระฆังจากผู้ชมนับร้อยที่ดังสนั่นตลอดเส้นทางการแข่งขัน ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจที่จะใช้นาฬิกาสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่พรสวรรค์ทางด้านกีฬาของเขาไม่ใช้คำกล่าวอ้างที่เกินจริง เพราะแพทย์เคยได้ทำการตรวจวัดหัวใจของเขาแล้วพบว่าเขามีหัวใจที่แข็งแรงและสูบฉีดเลือดได้ดีกว่านักกีฬาทั่วไป
โดยเทคนิคการวิ่งของเขา คือ “การออกตัวอย่างเต็มแรงและขึ้นนำกลุ่ม” ซึ่งเขาได้ฝึกซ้อมในลักษณะเดียวกันนี้เป็นประจำ และเขายังกล่าวอีกว่า “ความคิดและจิตใจคือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งการจะแข่งขันให้ได้เต็มประสิทธิภาพจำเป็นต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเสมอ และแม้ว่าจะมีบางครั้งที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและรู้สึกไม่ไหว แต่คุณต้องเป็นคนที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ แล้วความรู้สึกเหนื่อยล้าเหล่านั้นมันก็จะเลือนหายไปเอง”
และแล้วนาฬิกาจับเวลาก็ได้หยุดลง ณ เส้นชัย ทุกๆ อย่างหยุดนิ่ง ด้วยเวลา 29 นาที 42 วินาที 741 มิลลิวินาที โดย Urban Zemmer ได้กลายมาเป็นชายคนแรกของโลกที่ทำลายสถิติการแข่งขัน Fully VK ด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาที ซึ่งชายคนนี้ไม่ใช่นักวิ่งชื่อดังอย่าง Usain Bolt หรือนักกีฬาอาชีพอย่าง Kilian Jornet (ที่ ณ เวลานั้น Kilian Jornet วัย 27 ปี ก็ได้ลงแข่งขันเช่นกัน)

แต่เขาคือช่างประปาและเกษตรกรวัย 44 ปี ผู้ซึ่งมีงานอดิเรกคือการวิ่งภูเขา โดยเขาไม่มีแผนการซ้อมและไม่พกเจลพลังงานในกระเป๋า แหล่งพลังงานเดียวของเขามาจากลาซานญ่าที่ปรุงด้วยความรักจาก Astrid แฟนของเขาและเขาฝึกซ้อมเมื่อมีเวลาว่าง ขับเคลื่อนตนเองด้วยความหลงไหล ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน
และในทุกครั้งเขาจะกล่าวกับคุณว่า “เมื่อคุณสามารถออกไปวิ่งได้ มันก็หมายความว่าคุณยังมีชีวิตอยู่”
นอกจากนี้ต่อมาในปี 2015 Urban Zemmer ยังกลับเข้ามาลงสนามแข่ง Fully VK อีกครั้งและสามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นนักวิ่งชายเพียงคนเดียวที่สามารถทำสถิติคว้าแชมป์สนามแข่ง Fully VK ได้ 4 สมัยซ้อน โดยทั้ง 4 ครั้ง เขาสวมใส่รองเท้า La Sportiva Vertical K
รวมไปถึงนักวิ่งภูเขาดาวรุ่งของทีม La Sportiva อย่าง Nadir Maguet ที่ได้ใช้รองเท้ารุ่นนี้คว้าแชมป์สนามแข่ง Fully VK ในปี 2016 ซึ่งรวมแล้วรองเท้า La Sportiva Vertical K เพียงรุ่นเดียวสามารถพาเหล่านักแข่งชาวอิตาลีคว้าชัยในสนามแข่ง Fully VK ได้ถึง 5 สมัยซ้อน

ความรู้เพิ่มเติม สถิติ Fully VK ของ Urban Zemmer ในปัจจุบันถูกทำลายลงโดย Philip Goetsch นักวิ่งชาวอิตาลี ในปี 2017 ด้วยเวลา 28 นาที 53 วินาที
หลังจากนั้น รองเท้า La Sportiva Vertical K ได้กลายมาเป็นที่ไว้วางใจของนักแข่งภายในทีม La Sportiva ทุกคนในเวลานั้น ที่พวกเขาจะเลือกใช้รองเท้ารุ่นนี้ลงสนามแข่งเกือบทุกสนาม จนกระทั่งรองเท้ารุ่นนี้เลิกผลิตไปในช่วงปี 2017 เนื่องจากมีรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งนับเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ที่รองเท้าคู่นี้ได้สร้างผลงานไว้อย่างมากมายในหน้าประวัติศาสตร์วงการวิ่งภูเขา

และสำหรับประวัติแบรนด์ La Sportiva ตอนที่ 4 สู่ตำนานรองเท้าวิ่งภูเขาระดับโลก ทางเราต้องขอจบไว้ ณ ตรงนี้ และในตอนหน้าเราจะมาต่อกันที่ประวัติรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นต่างๆ ของแบรนด์ และนักวิ่งภูเขาดาวรุ่งของทีม La Sportiva อย่าง Nadir Maguet รวมไปถึงบทสรุปผู้บริหาร ประวัติจะน่าสนในแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
และแบรนด์ La Sportiva ได้เข้ามายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งท่านใดที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถติดตามได้ในช่องทาง FB: La Sportiva Thailand หรือสามารถสั่งซื้อสินค้าของแบรนด์ La Sportiva ได้ที่ทาง Shopee ได้เลยครับ
อ่านต่อตอนที่ 5 สู่อนาคตของรองเท้าวิ่งภูเขา ได้ที่นี่เลยครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ และสามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน