ประวัติแบรนด์ La Sportiva: ตอนที่ 4 สู่ตำนานรองเท้าวิ่งภูเขาระดับโลก

Related Articles

วันนี้เรามาต่อกันในตอนที่ 4 ของประวัติแบรนด์ La Sportiva ซึ่งในตอนที่ผ่านมา หลังจากความสำเร็จของรองเท้าวิ่งภูเขารุ่น Slingshot ที่สวมใส่โดย Anton Krupicka ส่งผลให้รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva กลายมาเป็นที่ยอมรับในวงการวิ่งเทรลของประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่งทำให้แบรนด์ La Sportiva ได้ต่อยอดเทคโนโลยีและเปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาออกมาหลายต่อหลายรุ่นในแต่ละปี จนกระทั่งในปี 2011 ที่ทางแบรนด์ได้ส่งเทคโนโลยีสุดล้ำออกมาอย่างเทคโนโลยี MorphoDynamic ที่จะเป็นที่สั่นสะเทือนในวงการวิ่งภูเขาของโลก และเทคโนโลยีนี้จะน่าสนใจเพียงใดและหน้าประวัติศาสตร์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เชิญติดตามได้เลยครับ

นวัตกรรมรองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva

ในปี 2011 เทคโนโลยีที่สั่นสะเทือนวงการวิ่งเทรลและวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ได้มาถึงอีกครั้ง นั่นคือ เทคโนโลยี MorphoDynamic ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นโฟมและดอกยางรูปทรงพิเศษ ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนาเป็นเวลากว่า 2 ปี ระหว่างแบรนด์ La Sportiva กับกลุ่มนักวิ่งภูเขา Skyrunner ในประเทศอิตาลี

เทคโนโลยี MorphoDynamic เป็นเทคโนโลยีพื้นโฟมและดอกยางรูปทรงพิเศษ ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนาเป็นเวลากว่า 2 ปี ระหว่างแบรนด์ La Sportiva กับกลุ่มนักวิ่งภูเขา Skyrunner ในประเทศอิตาลี

โดยเทคโนโลยี MorphoDynamic มีหัวใจหลักอยู่ 2 ประการดังนี้

  • หนึ่ง คือ การเข้ามาแก้ไขปัญหารองเท้าวิ่งเทรลที่ไม่กระชับกับเท้าของนักวิ่งอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติในรองเท้าวิ่งเทรลทุกรุ่น
  • สอง คือ การออกแบบรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น โดยที่รองเท้ายังมีน้ำหนักที่เบา

ซึ่งปัญหารองเท้าวิ่งเทรลไม่กระชับกับเท้าของนักวิ่ง ทางแบรนด์ La Sportiva พบว่า มันเกิดจากแม่พิมพ์รูปเท้า (Shoe Lasts) ในขั้นตอนการผลิต ที่ในยุคสมัยนั้น โรงงานผลิตรองเท้ากว่า 95 เปอร์เซ็นต์จะใช้แม่พิมพ์รูปเท้าแบบดั้งเดิม ที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุมและตัดพื้นแบบเรียบตรง ซึ่งทำให้รองเท้าที่ผลิตออกมาไม่สามารถเข้ารูปกับเท้าของมนุษย์ที่มีลักษณะโค้งมนได้

โรงงานผลิตรองเท้ากว่า 95 เปอร์เซ็นต์จะใช้แม่พิมพ์รูปเท้าแบบดั้งเดิม ที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุมและตัดพื้นแบบเรียบตรง ซึ่งทำให้รองเท้าที่ผลิตออกมาไม่สามารถเข้ารูปกับเท้าของมนุษย์ที่มีลักษณะโค้งมนได้

ทำให้ทางแบรนด์ La Sportiva เลือกที่จะแก้ปัญหานี้ โดยการนำแม่พิมพ์รูปเท้าที่ใช้ในรองเท้าปีนผาของแบรนด์ ซึ่งมีลักษณะที่โค้งมนเหมือนดังรูปทรงเท้าของมนุษย์มาประยุกต์ใช้ในการผลิตรองเท้าวิ่งภูเขา โดยเรียกแม่พิมพ์รูปเท้านี้ว่า “Ergonomic Lasts” หรือ “แม่พิมพ์รูปเท้าที่จำลองมาจากหลักสรีรศาสตร์” ส่งผลให้รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva มีความกระชับและเข้ารูปเท้ากว่ารองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์อื่นในท้องตลาด ณ เวลา นั้น

“Ergonomic Lasts” หรือ “แม่พิมพ์รูปเท้าที่จำลองมาจากหลักสรีรศาสตร์” ส่งผลให้รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva มีความกระชับและเข้ารูปเท้ากว่ารองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์อื่นในท้องตลาด ณ เวลา นั้น

และในส่วนของการออกแบบรองเท้าที่สามารถรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น โดยที่รองเท้ายังมีน้ำหนักที่เบา ทางแบรนด์ La Sportiva ได้คิดค้นพื้นชั้นกลางที่ประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก ดังนี้

  1. พื้นชั้นกลางด้านบน ที่ใช้วัสดุ EVA ในการรองรับแรงกระแทกและเพิ่มความเสถียร
  2. พื้นชั้นกลางด้านล่าง ที่ใช้วัสดุ PU ที่มีความนุ่มเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นตัวรองรับแรงกระแทกหลักในรองเท้า โดยเหตุผลที่ถูกวางไว้บริเวณด้านล่างก็เพื่อช่วยดูดซับแรงกระแทกขณะเหยียบลงบนหินหรือกิ่งไม้ (หรือการกลืนหินเข้าไปไว้ในพื้นนั่นเอง)   
  3. ดอกยางเหนียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้น
  4. แผ่นพลาสติกบริเวณส้นเท้า เพื่อความเสถียรและมั่นคงให้แก่เท้าของนักวิ่ง
ทางแบรนด์ La Sportiva ได้คิดค้นพื้นชั้นกลางที่ประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก

นอกจากนี้ ลวดลายของทั้งพื้นชั้นกลางและดอกยางจะมีลักษณะเป็นรูปทรงคลื่นเรียงกัน โดยการออกแบบลักษณะนี้ทางแบรนด์ La Sportiva กล่าวว่า สามารถช่วยให้รองเท้าปรับตัวไปบนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

โดยรองเท้าวิ่งภูเขา 2 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี MorphoDynamic คือ La Sportiva Quantum ซึ่งเป็นรองเท้าตัวแข่งที่มีหน้าผ้าน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดี และ La Sportiva Electron ที่ไว้ใช้สำหรับซ้อมและมีหน้าผ้าสวมใส่สบาย ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะใช้พื้นชั้นกลางและดอกยางแบบเดียวกัน (พื้นสูง 20/31 Drop 11 มม.)

(ซ้าย) La Sportiva Electron ซึ่งเป็นรองเท้าสำหรับซ้อมและมีหน้าผ้าสวมใส่สบาย และ (ขวา) La Sportiva Quantum รองเท้าตัวแข่งที่มีหน้าผ้าน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดี ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะใช้พื้นชั้นกลางและดอกยางแบบเดียวกัน

และในครั้งแรกที่เปิดตัวออกมา La Sportiva รุ่น Electron ก็ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World ในปี 2011

La Sportiva รุ่น Electron ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World ในปี 2011

นอกจากนี้ ภายในปีเดียวกัน แบรนด์ La Sportiva ยังได้เปิดตัวรุ่นสานต่อของรองเท้าวิ่งภูเขายอดนิยมตระกูล Cross อย่างรุ่น Crosslite 2.0 (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 300 กรัม) และ X Country (พื้นสูง 20/26 Drop 6 มม., น.น. 285 กรัม) รวมไปถึงการที่ครอบครัว Delladio ได้ตัดสินใจร่วมมือกับบริษัทผลิตรองเท้าวิ่งยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนอย่าง Fulgent Sun Group ที่เคยผลิตรองเท้าวิ่งภูเขาให้แก่แบรนด์ La Sportiva มายาวนานกว่า 12 ปี ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัท Fujian La Sportiva เพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดรองเท้าวิ่งเทรลในประเทศจีนต่อไป

(ซ้าย) La Sportiva Crosslite 2.0 และ (ขวา) La Sportiva X Country ในปี 2011

ความรู้เพิ่มเติม บริษัท Fulgent Sun Group จากประเทศจีนเป็นบริษัทรับผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬากลางแจ้งให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ จากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น The North Face, Under Armour, Merrell, Inov-8, Timberland, Decathlon และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย และยังเป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจให้ผลิตหน้าผ้ากันน้ำอย่าง GORE-TEX อีกด้วย โดยบริษัท Fulgent Sun Group มีฐานการผลิตอยู่ทั้งในประเทศจีน เวียดนามและกัมพูชา

บริษัท Fulgent Sun Group จากประเทศจีนเป็นบริษัทรับผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬากลางแจ้งให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ จากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า La Sportiva รุ่น Electron และ Quantum จะเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัย แต่ด้วยน้ำหนักของรองเท้าที่ไม่ได้เบาอย่างที่หลายคนคาดหวังเอาไว้ โดย La Sportiva รุ่น Electron มีน้ำหนักที่มากถึง 371 กรัม และรุ่น Quantum มีน้ำหนักอยู่ที่ 368 กรัม ทำให้ทั้งสองรุ่นยังไม่สามารถตอบโจทย์การเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับใช้ในการแข่งขันอย่างที่มันควรจะเป็นได้

ทำให้ในปี 2012 แบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะสั้นรุ่นใหม่ที่เป็นการนำเอาเทคโนโลยี MorphoDynamic มาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Vertical K” ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้กลายมาเป็นที่ฮือฮากันไปทั่วทั้งโลก เพราะนี้คือรองเท้าวิ่งภูเขาที่เบาที่สุดในโลก ณ เวลานั้นจนถูกขนานนามว่า “ปีศาจแห่งยอดเขา”

La Sportiva Vertical K รองเท้าวิ่งภูเขาที่เบาที่สุดในโลก จนถูกขนานนามว่า “ปีศาจแห่งยอดเขา”

La Sportiva Vertical K มาพร้อมกับพื้นชั้นกลางและดอกยางรูปทรงคลื่นที่คล้ายกับในรุ่น Electron และ Quantum แต่เป็นการใช้พื้นชั้นกลาง EVA น้ำหนักเบา ที่มีความหนาแน่นเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นการแยกพื้นชั้นกลางออกเป็น 2 ส่วนอีกต่อไป รวมทั้งมีการเปลี่ยนหน้าผ้าให้มีน้ำหนักที่เบาขึ้น ส่งผลให้รองเท้ารุ่นนี้มีน้ำหนักที่เบาเพียง 198 กรัม เท่านั้น (พื้นสูง 11/15 Drop 4 มม.)

ความรู้เพิ่มเติม

  • การแข่งขัน Vertical Kilometer หรือ VK เป็นการแข่งขันวิ่งขึ้นภูเขาเพียงอย่างเดียว (Uphill Only) ที่เป็นที่นิยมในแถบทวีปยุโรป โดยการแข่งขันจะเป็นการวิ่งขึ้นเขาที่มีความชันสะสมรวม (Elevation Gain) อยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตร และมีระยะทางที่ไม่เกิน 5 กิโลเมตร (แต่ในบางสนามแข่งมีระยะทางที่เกินกว่า 5 กม. เช่น สนามแข่ง Transvulcania ในประเทศสเปน ที่มีระยะทาง 7.6 กม.)
  • โดยสนามแข่งที่มีเปอร์เซ็นต์ความชันมากที่สุดในโลกในอดีต คือ สนามแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่เริ่มการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งสนามแข่งมีระยะทางในการแข่งขันเพียงแค่ 1.92 กม. ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยอยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์ตลอดการแข่งขัน
  • แต่ในปัจจุบัน สนามแข่งที่มีเปอร์เซ็นต์ความชันมากที่สุดในโลก คือ สนามแข่ง Verticale du Grand Serre ณ ประเทศฝรั่งเศส ที่ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2010 โดยมีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยถึง 55 เปอร์เซ็นต์ และมีระยะทางในการแข่งขันที่สั้นเพียงแค่ 1.81 กม. เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สนามแข่ง Fully VK ยังคงเป็นสนามแข่งเดียวในโลกที่จะมีการบันทึกสถิติโลก (World Record) ในประเภทการแข่งขันแบบ Vertical Kilometer
  • นอกจากนี้ นักวิ่งภูเขาของทางฝั่งยุโรปยังชื่นชอบที่จะล้อเลียนสนามแข่งขัน Vertical Kilometer ของทางฝั่งอเมริกาว่าเป็นสนามแข่งที่ไม่ชันเอาเสียเลย โดยสนามแข่ง Lone Peak Vertical Kilometer ที่จัดขึ้นบนภูเขา Lone Peak ในรัฐมอนแทนา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยเพียงแค่ 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และมีระยะทางกว่า 5 กม.

ซึ่งในครั้งแรกที่เปิดตัว La Sportiva Vertical K ก็ได้รับทั้งรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมที่ถูกเปิดตัวครั้งแรก (Best Debut award)” จากนิตยสาร Runner’s World และรางวัล “รองเท้าวิ่งที่โดนใจ บก. ในสาขาการออกแบบที่ล้ำสมัยที่สุด (Editors’ Choice – Most Innovative Design award)” จากนิตยสาร Trail Runner Magazine ในปี 2012

La Sportiva Vertical K ได้รับทั้งรางวัล “รองเท้าวิ่งที่โดนใจ บก. ในสาขาการออกแบบที่ล้ำสมัยที่สุด (Editors’ Choice – Most Innovative Design award)” จากนิตยสาร Trail Runner Magazine ในปี 2012

สู่ตำนานชายคนแรกของโลกที่ทำลายสถิติการแข่งขัน Fully VK ด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาที

Urban Zemmer (เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1970 ปัจจุบันอายุ 51 ปี) เขาคือนักวิ่งภูเขาชาวอิตาลี ผู้มีอาชีพเป็นช่างประปาและทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก ณ ทุ่งหญ้า Alpe di Siusi ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี

Urban Zemmer นักวิ่งภูเขาชาวอิตาลี ผู้มีอาชีพเป็นช่างประปาและทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก

โดยกิจวัตรประจำวันของเขา คือ การตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปดูแลคอกวัว หลังจากนั้น เขาก็จะไปทำงานเป็นช่างประปาตลอดทั้งวันจนกระทั่งเลิกงานในตอนเย็น ซึ่งบ้านที่เขาอาศัยอยู่ถูกรอบล้อมไปด้วยทุ่งหญ้า ป่า และภูเขาที่สูงชัน

กิจวัตรประจำวันของ Urban Zemmer คือ การตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปดูแลคอกวัว หลังจากนั้น เขาก็จะไปทำงานเป็นช่างประปาตลอดทั้งวันจนกระทั่งเลิกงานในตอนเย็น

Urban Zemmer พึ่งมาสวมใส่รองเท้าวิ่งภูเขาครั้งแรกในวัย 34 ปี ซึ่งในอดีตเขาไม่เคยแม้แต่ที่จะคิดใส่ใจในการแข่งขันกีฬามาก่อน จนกระทั่งเขาเกิดประสบอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการทำงาน ทำให้ต้องเข้าพบแพทย์ โดยแพทย์ได้แนะนำให้เขาออกกำลังกาย เช่น การปั่นจักรยานหรือวิ่ง ซึ่งเขาก็ได้ปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ

ซึ่งหลังจากทดลองออกกำลังกาย เขาได้ค้นพบว่าตัวของเขานั้นดูจะมีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถเอาชนะเหล่าเพื่อนๆ ของเขาในการแข่งขันกีฬา ทำให้เขาได้เริ่มฝึกซ้อมและจริงจังในการลงแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ เช่น สกีครอสคันทรีและวิ่งภูเขา ซึ่งต่อมามันได้กลายมาเป็นความหลงไหลในกีฬาที่เขาใฝ่หา

Urban Zemmer ได้ค้นพบว่าตัวของเขานั้นดูจะมีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาเป็นอย่างมาก

และแม้ว่าเขาจะไม่มีเวลาฝึกซ้อมทั้งวันเหมือนกับนักกีฬาอาชีพ แต่เขาก็จะสละเวลาทุกเย็นหลังเลิกงานในเวลา 5 โมงเย็น เพื่อมาฝึกซ้อม โดยการวิ่งขึ้นลงภูเขาที่สูงชันใกล้ๆ บ้านของเขา เพราะเป็นสถานที่เดียวที่สะดวกที่สุดและไม่ต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางออกไป นอกจากนี้เขายังได้ตั้งกฏในการฝึกซ้อมขึ้นมาว่า “ต้องกลับบ้านก่อนพลบค่ำ” เท่านั้น

Urban Zemmer สละเวลาทุกเย็นหลังเลิกงานในเวลา 5 โมงเย็น เพื่อมาฝึกซ้อม โดยการวิ่งขึ้นลงภูเขาที่สูงชันใกล้ๆ บ้านของเขา เพราะเป็นสถานที่เดียวที่สะดวกที่สุด

และในปี 2009 เขาได้เข้าร่วมการแข่งขัน Skyrunning European Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer ที่ถูกจัดขึ้น ณ หมู่บ้าน Canazei ในประเทศอิตาลี ซึ่งไม่ห่างจากบ้านของเขานัก โดยสนามแข่งนี้มีระยะทางเพียง 2.1 กม. ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความชันเฉลี่ยที่มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็สามารถคว้าแชมป์สนามแข่งนี้มาได้ ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ชมว่านี่คือนักกีฬาวัย 39 ปี

ยิ่งไปกว่านั้นในปีต่อมา เขายังสามารถคว้าแชมป์งานแข่ง Skyrunning World Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer ในปี 2010 ที่ถูกจัดขึ้น ณ หมู่บ้าน Canazei ได้อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พิเศษตรงที่ว่านี่คือการแข่งขันระดับโลก ที่รวมเอานักวิ่งจากทั่วโลกเข้ามาร่วมในการแข่งขัน และต่อมาในปี 2011 เขาก็ได้คว้าแชมป์ Skyrunning European Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ถูกจัดขึ้น ณ เมือง Valencia ประเทศสเปน

Urban Zemmer ณ งานแข่ง Skyrunning World Championships ประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer ในปี 2010 กับรองเท้า La Sportiva Crosslite

ซึ่งในการแข่งขันทั้งสามครั้งนี้ เขาได้สวมใส่รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva รุ่น Crosslite (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 311 กรัม) จนกระทั่งในปี 2012 ที่รองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่ที่ถูกขนานนามว่า “ปีศาจแห่งยอดเขา” อย่างรุ่น “Vertical K” ได้มาถึงมือของ Urban Zemmer และต่อจากนี้จะกลายเป็นปีแห่งการเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของแบรนด์ La Sportiva

ในปี 2012 Urban Zemmer ลงแข่งขันในงานแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ซึ่งถือเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแข่งขันประเภท Vertical Kilometer โดยในครั้งนั้น เขาสามารถคว้าแชมป์และทุบสถิติสนามแข่งด้วยเวลา 30 นาที 26 วินาที และกลายเป็นสถิติโลกใหม่ ณ เวลานั้น

และในปี 2013 เขาก็ได้ลงแข่งขันงานแข่ง Fully VK อีกครั้ง และได้คว้าแชมป์เป็นสมัยที่สอง ด้วยเวลา 30 นาที 54 วินาที อย่างไรก็ตาม สถิติสนามแข่งที่ต่ำกว่า 30 นาที ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มีการจัดการแข่งขัน Fully VK ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2001 ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 13 ปีเต็ม

Urban Zemmer ณ งานแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ในปี 2012

จนกระทั่งในปี 2014 เขาลงแข่งขันงานแข่ง Fully VK อีกครั้ง และในครั้งนี้ เขากล่าวว่า “ผมเข้าร่วมงานแข่ง Fully VK เพื่อที่จะชนะเท่านั้นและผมไม่คิดถึงสถิติโลกเหล่านั้นหรอก ซึ่งในการแข่งขันครั้งก่อนๆ สภาพอากาศที่ร้อนดูจะไม่เป็นใจกับผมเท่าไรนัก ทำให้ผมไม่สามารถคาดหวังในการทำลายสถิติได้ แต่ผมก็รู้เพียงว่าผมจะวิ่งอย่างเต็มแรงก็เท่านั้น”

Urban Zemmer ตระหนักเป็นอย่างดีว่า เขาสามารถทำสถิติเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาทีได้ แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม ปี 2014 ณ เมือง Fully รัฐ Valais ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ท้องฟ้ามีเมฆมาก สภาพอากาศเย็น อุณหภูมิเฉลี่ย 11 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 76% และแทบไม่มีลมพัด ซึ่งเป็นวันที่มีการจัดการแข่งขัน Fully VK ขึ้น

และ Urban Zemmer วัย 44 ปี เริ่มวิ่งขึ้นเขาไปอย่างเต็มแรงท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงระฆังจากผู้ชมนับร้อยที่ดังสนั่นตลอดเส้นทางการแข่งขัน ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าเขาจะไม่สนใจที่จะใช้นาฬิกาสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่พรสวรรค์ทางด้านกีฬาของเขาไม่ใช้คำกล่าวอ้างที่เกินจริง เพราะแพทย์เคยได้ทำการตรวจวัดหัวใจของเขาแล้วพบว่าเขามีหัวใจที่แข็งแรงและสูบฉีดเลือดได้ดีกว่านักกีฬาทั่วไป

โดยเทคนิคการวิ่งของเขา คือ “การออกตัวอย่างเต็มแรงและขึ้นนำกลุ่ม” ซึ่งเขาได้ฝึกซ้อมในลักษณะเดียวกันนี้เป็นประจำ และเขายังกล่าวอีกว่า “ความคิดและจิตใจคือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งการจะแข่งขันให้ได้เต็มประสิทธิภาพจำเป็นต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเสมอ และแม้ว่าจะมีบางครั้งที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและรู้สึกไม่ไหว แต่คุณต้องเป็นคนที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ แล้วความรู้สึกเหนื่อยล้าเหล่านั้นมันก็จะเลือนหายไปเอง”

และแล้วนาฬิกาจับเวลาก็ได้หยุดลง ณ เส้นชัย ทุกๆ อย่างหยุดนิ่ง ด้วยเวลา 29 นาที 42 วินาที 741 มิลลิวินาที โดย Urban Zemmer ได้กลายมาเป็นชายคนแรกของโลกที่ทำลายสถิติการแข่งขัน Fully VK ด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 30 นาที ซึ่งชายคนนี้ไม่ใช่นักวิ่งชื่อดังอย่าง Usain Bolt หรือนักกีฬาอาชีพอย่าง Kilian Jornet (ที่ ณ เวลานั้น Kilian Jornet วัย 27 ปี ก็ได้ลงแข่งขันเช่นกัน)

Urban Zemmer ณ งานแข่ง Kilomètre vertical de Fully (Fully VK) ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่เขาสามารถทำลายกำแพงเวลาต่ำกว่า 30 นาทีได้

แต่เขาคือช่างประปาและเกษตรกรวัย 44 ปี ผู้ซึ่งมีงานอดิเรกคือการวิ่งภูเขา โดยเขาไม่มีแผนการซ้อมและไม่พกเจลพลังงานในกระเป๋า แหล่งพลังงานเดียวของเขามาจากลาซานญ่าที่ปรุงด้วยความรักจาก Astrid แฟนของเขาและเขาฝึกซ้อมเมื่อมีเวลาว่าง ขับเคลื่อนตนเองด้วยความหลงไหล ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน

และในทุกครั้งเขาจะกล่าวกับคุณว่า “เมื่อคุณสามารถออกไปวิ่งได้ มันก็หมายความว่าคุณยังมีชีวิตอยู่”

นอกจากนี้ต่อมาในปี 2015 Urban Zemmer ยังกลับเข้ามาลงสนามแข่ง Fully VK อีกครั้งและสามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นนักวิ่งชายเพียงคนเดียวที่สามารถทำสถิติคว้าแชมป์สนามแข่ง Fully VK ได้ 4 สมัยซ้อน โดยทั้ง 4 ครั้ง เขาสวมใส่รองเท้า La Sportiva Vertical K

รวมไปถึงนักวิ่งภูเขาดาวรุ่งของทีม La Sportiva อย่าง Nadir Maguet ที่ได้ใช้รองเท้ารุ่นนี้คว้าแชมป์สนามแข่ง Fully VK ในปี 2016 ซึ่งรวมแล้วรองเท้า La Sportiva Vertical K เพียงรุ่นเดียวสามารถพาเหล่านักแข่งชาวอิตาลีคว้าชัยในสนามแข่ง Fully VK ได้ถึง 5 สมัยซ้อน

Nadir Maguet ที่ได้ใช้รองเท้า La Sportiva รุ่น Vertical K คว้าแชมป์สนามแข่ง Fully VK ในปี 2016

ความรู้เพิ่มเติม สถิติ Fully VK ของ Urban Zemmer ในปัจจุบันถูกทำลายลงโดย Philip Goetsch นักวิ่งชาวอิตาลี ในปี 2017 ด้วยเวลา 28 นาที 53 วินาที

หลังจากนั้น รองเท้า La Sportiva Vertical K ได้กลายมาเป็นที่ไว้วางใจของนักแข่งภายในทีม La Sportiva ทุกคนในเวลานั้น ที่พวกเขาจะเลือกใช้รองเท้ารุ่นนี้ลงสนามแข่งเกือบทุกสนาม จนกระทั่งรองเท้ารุ่นนี้เลิกผลิตไปในช่วงปี 2017 เนื่องจากมีรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งนับเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ที่รองเท้าคู่นี้ได้สร้างผลงานไว้อย่างมากมายในหน้าประวัติศาสตร์วงการวิ่งภูเขา

รองเท้า La Sportiva Vertical K ได้กลายมาเป็นที่ไว้วางใจของนักแข่งภายในทีม La Sportiva ทุกคนในเวลานั้น

และสำหรับประวัติแบรนด์ La Sportiva ตอนที่ 4 สู่ตำนานรองเท้าวิ่งภูเขาระดับโลก ทางเราต้องขอจบไว้ ณ ตรงนี้ และในตอนหน้าเราจะมาต่อกันที่ประวัติรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นต่างๆ ของแบรนด์ และนักวิ่งภูเขาดาวรุ่งของทีม La Sportiva อย่าง Nadir Maguet รวมไปถึงบทสรุปผู้บริหาร ประวัติจะน่าสนในแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

และแบรนด์ La Sportiva ได้เข้ามายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งท่านใดที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถติดตามได้ในช่องทาง FB: La Sportiva Thailand หรือสามารถสั่งซื้อสินค้าของแบรนด์ La Sportiva ได้ที่ทาง Shopee ได้เลยครับ

อ่านต่อตอนที่ 5 สู่อนาคตของรองเท้าวิ่งภูเขา ได้ที่นี่เลยครับ

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ และสามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน

More on this topic

Popular stories

Training Plan