วันนี้เรามาต่อกันในตอนที่ 5 ของประวัติแบรนด์ La Sportiva ที่จะเล่าถึงประวัติรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นต่างๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน และนักวิ่งภูเขาดาวรุ่งของทีมอย่าง Nadir Maguet รวมไปถึง Jonathan Wyatt ผู้ออกแบบรองเท้าวิ่งภูเขาเลือดใหม่ของแบรนด์ La Sportiva ประวัติจะน่าสนในแค่ไหน เชิญติดตามรับชมได้เลยครับ

ปล. นักวิ่งท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านประวัติแบรนด์ La Sportiva ในตอนที่ผ่านมาสามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่
นวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2012 แบรนด์ La Sportiva ไม่ได้มีการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Vertical K เพียงรุ่นเดียว แต่พวกเขายังได้มีการเปิดตัวรองเท้ารุ่นสานต่ออีกสองรุ่นอย่าง Skylite 2.0 (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 270 กรัม) และ Quantum 2.0 (พื้นสูง 20/31 Drop 11 มม., น.น. 460 กรัม) ซึ่งรุ่น Quantum 2.0 คือรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นแรกและรุ่นเดียวของแบรนด์ La Sportiva ที่ใช้ดอกยางที่มาจากแบรนด์ Vibram


และแม้ว่าเสียงตอบรับของรุ่น Vertical K ในหมู่นักกีฬาที่นำไปใช้ในการแข่งขันจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่สำหรับนักกีฬาทั่วไป การลดน้ำหนักของรองเท้าที่มากจนเกินไปก็หมายถึงการลดความสามารถในการปกป้องเท้าและการรองรับแรงกระแทก
ทำให้ต่อมาในปี 2013 ทางแบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างรุ่น Helios (พื้นสูง 11/15 Drop 4 มม., น.น. 231 กรัม) ที่เป็นการนำเอาภาพลักษณ์ของรุ่น Vertical K มาปรับปรุงให้เป็นรองเท้าที่สามารถใช้ซ้อมประจำวันได้และเหมาะกับนักวิ่งทั่วไปมากยิ่งขึ้น

โดยรองเท้า La Sportiva Helios จะใช้พื้นชั้นกลางวัสดุเดียวกับรุ่น Vertical K แต่จะมีการบุโฟม EVA ที่มีความหนา 2 มม. เพิ่มเข้ามาบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลาง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับแรงกระแทกขณะวิ่ง รวมทั้งมีการเปลี่ยนหน้าผ้าและวัสดุของดอกยางให้มีความทนทานมากยิ่งขึ้น
ซึ่งรองเท้ารุ่น Helios นี้ถูกวางจำหน่ายควบคู่กันไปกับรุ่น Vertical K นอกจากนี้ภายในปีเดียวกัน ทางแบรนด์ La Sportiva ยังมีการเปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาอีก 2 รุ่น อย่างรุ่น Anakonda (พื้นสูง 5/9 Drop 4 มม., น.น. 286 กรัม) และ Ultra Raptor (พื้นสูง 14/23 Drop 9 มม., น.น. 343 กรัม)

ก่อนที่ในปี 2014 แบรนด์ La Sportiva จะนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่อย่าง STB Control หรือแผ่นพลาสติก TPU แข็ง ที่จะวางประกบพื้นชั้นกลางและโอบขึ้นมาบริเวณกลางเท้าทั้งสองด้าน เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรให้แก่รองเท้าและช่วยทำให้รองเท้ากระชับเข้ารูปกับเท้าได้ดีกว่าเดิม ทำให้นักวิ่งสามารถวิ่งในทางทรุกันดาร (Technical Terrains) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เสมือนกับรองเท้าได้กลายเป็นส่วนเดียวกับเท้า
และรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นแรกที่นำนวัตกรรมนี้มาใช้คือ La Sportiva Bushido (พื้นสูง 13/19 Drop 6 มม., น.น. 278 กรัม) ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันในทางทรุกันดารระยะสั้นถึงกลางโดยเฉพาะ

ความรู้เพิ่มเติม คำว่า Bushido (武士道) มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “วิถีแห่งนักรบ” หรือ “วิถีแห่งซามูไร” ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ ความจงรักภักดีต่อเจ้านายและความซื่อสัตย์ รวมทั้งการรักษาไว้ซึ่งเกียรติจนกระทั่งตัวตาย โดยทางแบรนด์ La Sportiva นำมาตีความเป็นชื่อรุ่นของรองเท้า เพื่อต้องการสื่อว่ารองเท้ารุ่นนี้จะไม่มีทางทำให้นักวิ่งที่เป็นเจ้าของมันผิดหวังนั่นเอง
ซึ่งรุ่น Bushido ไม่เพียงจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี STB Control แต่ยังมีการเสริมแผ่นรองกันหินบริเวณปลายเท้าและมาพร้อมกับดอกยางรูปทรงพิเศษที่ยกขอบของดอกยางขึ้นมาหุ้มบริเวณพื้นชั้นกลาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะและปกป้องเท้าจากหิน กิ่งไม้และรากไม้ในการวิ่งบนเส้นทางที่ทรุกันดาร

โดยรองเท้า La Sportiva Bushido ได้กลายมาเป็นที่นิยมและเป็นที่ชื่นชอบสำหรับนักแข่งภายในทีม La Sportiva เป็นอย่างมาก ซึ่งนักแข่งไฟแรง ณ ขณะนั้นของทีมอย่าง Nadir Maguet ยังเลือกใช้รองเท้ารุ่นนี้ลงแข่งขันอยู่เป็นประจำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันที่เป็นที่นิยมไม่แพ้รุ่น Vertical K เลยก็ว่าได้

ความรู้เพิ่มเติม
- Nadir Maguet (นาเดียร์ มาเกต์) (เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 1993 ปัจจุบันอายุ 28 ปี) เขาคือนักสกีและนักวิ่งภูเขาไฟแรงชาวอิตาลี ซึ่งเขาได้เรียนรู้การเล่นสกีตั้งแต่วัย 2 ขวบ โดยพ่อของเขาที่เป็นครูผู้สอนสกีครอสคันทรี่
- โดย Nadir Maguet เกิด ณ เมือง Aoste ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับยอดเขา Mont Blanc โดยมีระยะทางห่างเพียง 40 กม. เท่านั้น ซึ่งเขาในวัยเด็กไม่เพียงแต่จะเล่นสกีเท่านั้น แต่เขายังเติบโตมากับการเล่นกีฬาหลากหลายประเภทที่ไม่ว่าจะเป็นทวิกีฬาฤดูหนาว สกีลงเขา ปั่นจักรยานเสือภูเขา หรือแม้กระทั่งการเล่นฟุตบอล

- แต่ความหลงไหลและจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเข้าสู่การแข่งขันสกีหิมะอย่างจริงจังเกิดขึ้นเมื่อเขาในวัย 15 ปี ได้พูดคุยหยอกล้อกับพ่อของเขาขณะเล่นสกีครอสคันทรี่ในยามค่ำคืนว่า “ถ้าผมแข่งสกีชนะพ่อ พ่อต้องซื้ออุปกรณ์สกีแบบครบชุดให้กับผมนะ”
- ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเกินคาด เพราะเขาสามารถเอาชนะพ่อของเขาที่เป็นถึงครูผู้สอนสกีได้ ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาได้เริ่มทำการฝึกซ้อมสกีอย่างจริงจังและได้ค้นพบว่าตัวของเขานั้นชื่นชอบในการเล่นสกีครอสคันทรี่และการวิ่งภูเขาเป็นอย่างมาก

- แม้ว่าในครั้งแรกการวิ่งภูเขาของเขาจะเป็นเพียงกิจกรรมฝึกซ้อมร่างกายยามฤดูร้อน เพื่อเตรียมตัวแข่งขันสกีในฤดูหนาว แต่เมื่อเขาได้ลองลงแข่งขันวิ่งภูเขา ซึ่งในครั้งแรกเขาลงแข่งขันงานแข่งประเภท Vertical Kilometer ก่อนที่จะติดใจในความท้าทายของงานแข่ง แล้วเริ่มเข้าสู่รายการแข่งขัน Skyrunning อย่างจริงจังในเวลาต่อมา
- โดย Nadir Maguet ได้ฝากผลงานไว้อย่างมากมายทั้งในสนามแข่งสกีและวิ่งภูเขา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของตำแหน่งนักสกีทีมชาติของประเทศอิตาลีและเจ้าของแชมป์งานแข่งวิ่งภูเขาอย่างสนามแข่ง Fully VK ในปี 2016 และ Ring of Steall SkyRace ในปี 2019 รวมทั้งแชมป์ Skyrunning European Championships ปี 2019 ในประเภทการแข่งขัน Vertical Kilometer

- นอกจากนี้ ในปี 2020 ที่ผ่านมา เขายังสามารถทำลายสถิติวิ่งขึ้นยอดเขา Gran Paradiso ในประเทศอิตาลี ที่มีความสูง 4,061 เมตร ด้วยระยะเวลา 2 ชั่วโมง 02 นาที 32 วินาที หรือเร็วกว่าสถิติเดิมที่ถูกทำไว้โดยตำนานนักวิ่งภูเขาจากประเทศอิตาลีอย่าง Ettore Champretavy ไปกว่า 19 นาที (ซึ่ง Ettore Champretavy ทำสถิติไว้ในปี 1995 ด้วยระยะเวลา 2 ชั่วโมง 21 นาที 36 วินาที ซึ่งไม่มีนักวิ่งคนใดในโลกที่สามารถล้มสถิตินี้ลงได้เป็นเวลายาวนานกว่า 25 ปี)

- และเทคนิคพิเศษก่อนการแข่งขันของเขา คือ “การทำจิตใจให้ว่างเปล่า” โดยก่อนการแข่งขัน เขาจะพยายามทำจิตใจให้ห่างจากผู้คนและสิ่งรอบตัว เพื่อที่เขาจะได้มุ่งความสนใจไปยังการแข่งขัน สนามแข่ง และเทคนิคการวิ่งในแต่ละจุดที่เขาวางแผนขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยทำให้ร่างกายและจิตใจประสานร่วมกันเป็นหนึ่งและไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งรอบข้าง
- และจากความสำเร็จต่างๆ ทำให้ในปัจจุบัน Nadir Maguet ได้ถูกขนานนามว่าเป็น “All-Season Machine” หรือ “เครื่องจักรสังหารในทุกฤดูกาล” เพราะเขาจะลงแข่งขันทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว นอกจากนี้ เขายังมีส่วนสำคัญในการช่วยให้คำแนะนำในการออกแบบรองเท้าวิ่งภูเขาและรองเท้าสกีของแบรนด์ La Sportiva อีกด้วย

และหลังจากการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Bushido ทางแบรนด์ La Sportiva ได้ทำการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Helios SR (ที่ย่อมาจาก Sky Race) ในปี 2015 ซึ่งเป็นการนำเอารุ่น Vertical K มาปรับปรุงใหม่ เพื่อใช้ในการแข่งขันระยะสั้น เนื่องจากในรุ่น Vertical K ไม่สามารถปกป้องเท้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้มีการติดตั้งแผ่นรองกันหิน (Rock Plate) มาให้
โดยในรุ่น Helios SR (พื้นสูง 18/20 Drop 2 มม., น.น. 240 กรัม) จะใช้พื้นชั้นกลางวัสดุเดียวกับรุ่น Vertical K แต่จะมีการติดตั้งแผ่นรองกันหินบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลาง ทำให้รองเท้าสามารถปกป้องเท้าได้ดีกว่าในรุ่น Vertical K รวมทั้งมีการเปลี่ยนหน้าผ้าให้เป็นหน้าผ้าที่สามารถระบายน้ำได้ดีมากยิ่งขึ้น และเปลี่ยนดอกยางบริเวณส้นเท้าให้มีความทนทาน เพื่อใช้สำหรับการวิ่งลงเขา

นอกจากนี้ภายในปี 2015 ทางแบรนด์ La Sportiva ยังได้เปิดตัวรองเท้าอีกหนึ่งรุ่นที่เป็นเสมือนรุ่นสานต่อของรองเท้าวิ่งภูเขายอดนิยมอย่างตระกูล Cross ภายใต้ชื่อรุ่นที่ถูกเรียกใหม่ว่า “Mutant” ซึ่งเข้ามารับหน้าที่เป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะกลางต่อไป
ซึ่ง La Sportiva Mutant (พื้นสูง 16/26 Drop 10 มม., น.น. 320 กรัม) จะใช้พื้นชั้นกลางและดอกยางแบบเดียวกับในรุ่น Crosslite 2.0 ในปี 2011 แต่จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของหน้าผ้าที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี SpyralTongue ซึ่งเป็นหน้าผ้าแบบข้อสูง (Integrated Gaiter) และระบบรัดเชือกรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยให้รองเท้าแนบกระชับเข้ารูปกับเท้า รวมทั้งป้องกันเศษหินและดินโคลนเข้าไปในรองเท้าจากบริเวณข้อเท้าได้ดียิ่งขึ้น

และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี FusionGate ซึ่งเป็นการใช้เชือกติดไปบนหน้าผ้าบริเวณกลางเท้าเพื่อใช้เป็นรูร้อยเชือกที่จะวางยาวลงไปถึงพื้นชั้นกลาง (คล้ายกับ Flywire ของ Nike) เพื่อช่วยให้รองเท้ามีความกระชับมากขึ้น และมีการเคลือบเชือกด้วยยางใส เพื่อเพิ่มความทนทานในการใช้งานให้แก่หน้าผ้า
โดยหลังจากเปิดตัว La Sportiva Mutant ก็ได้รับทั้งรางวัล “รองเท้าวิ่งที่โดนใจ บก. (Editors’ Choice)” จากนิตยสาร Trail Runner Magazine และรางวัล “รองเท้าวิ่งยอดเยี่ยมแห่งปี 2015 (Gear of the Year 2015)” จากนิตยสาร Outside Magazine
ต่อมาในปี 2016 ถึงเวลาที่แบรนด์ La Sportiva จะเติมเต็มรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งระยะไกลที่ขาดหายไป โดยการเปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่อย่างรุ่น Akasha ที่เป็นการนำเอาเทคโนโลยี STB Control ของรุ่น Bushido มาใช้

ซึ่ง La Sportiva Akasha (พื้นสูง 20/26 Drop 6 มม., น.น. 330 กรัม) จะมีองศาของพื้นชั้นกลางแบบเดียวกับในรุ่น Bushido แต่จะมีการเพิ่มความสูงของพื้นชั้นกลางขึ้นมาอีก 7 มม. และมีการเปลี่ยนวัสดุพื้นชั้นกลางให้มีความนุ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกในการแข่งขันระยะทางไกล รวมทั้งเปลี่ยนลวดลายของดอกยางให้มีความอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น โดยที่ทั้งสองรุ่นจะมี Drop อยู่ที่ 6 มม. เท่ากัน

นอกจากนี้หลังจากเปิดตัว La Sportiva Akasha ก็ได้รับรางวัล “รองเท้าวิ่งที่โดนใจ บก. (Editors’ Choice)” จากนิตยสาร Trail Runner Magazine ในปี 2016 อีกด้วย
ก่อนที่ในปี 2017 จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ภายในทีมผู้ออกแบบรองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva

เปิดศักราชใหม่ของรองเท้าวิ่งภูเขาแห่งอนาคต
และแล้วยุคสมัยเก่าของแบรนด์ La Sportiva ก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อ Jonathan Wyatt ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมออกแบบรองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ในปี 2017
Jonathan Wyatt (โจนาธาน วัตต์) หรือ Jonathan Craig Wyatt (เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 1972 ปัจจุบันอายุ 48 ปี) เขาคือนักวิ่งชาวนิวซีแลนด์และเจ้าของแชมป์เหรียญทองรายการแข่ง World Mountain Running Championships 6 สมัย ซึ่งถือเป็นสถิติครองแชมป์ที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดการแข่งขันขึ้นมา

ปล. นักวิ่งท่านใดที่ยังไม่ทราบประวัติและต้นกำเนิดของการวิ่งภูเขาและองค์กร World Mountain Running Association (WMRA) สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่เลยครับ
รวมทั้ง Jonathan Wyatt ยังเป็นถึงนักกีฬาทีมชาติของประเทศนิวซีแลนด์ ที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถึง 2 ครั้ง โดยในครั้งแรก ณ งาน Atlanta Olympic Games ในปี 1996 ในการแข่งขันวิ่งระยะ 5,000 เมตร ซึ่งเขาจบงานด้วยเวลา 13 นาที 47 วินาที ทำให้ในครั้งนั้นเขาไม่สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้ายได้

และในครั้งที่สอง ณ งาน Athens Olympic Games ในปี 2004 ในการแข่งขันวิ่งระยะมาราธอน ซึ่งเขาสามารถจบงานเป็นอันดับที่ 21 จากนักวิ่งระดับหัวกะทิ จำนวน 100 คน จาก 59 ประเทศทั่วโลก ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 17 นาที 45 วินาที
นอกจากนี้ เขายังครองสถิติวิ่งถนนระยะ 5 กิโลเมตรของประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand national record) ด้วยเวลา 13 นาที 46 วินาที โดยเขาทำสถิตินี้ไว้ในปี 2000 ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีนักวิ่งชายคนใดของประเทศนิวซีแลนด์ ที่สามารถทำลายสถิตินี้ลงได้ รวมไปถึงเขายังเคยมีประสบการณ์ร่วมทีมกับแบรนด์ Salomon ในช่วงปี 2010
โดยเขาได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศอิตาลีตามบ้านเกิดของภรรยาอย่าง Antonella Confortola ซึ่งเธอคืออดีตนักสกีทีมชาติของประเทศอิตาลี ที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถึง 4 ครั้ง โดยบ้านเกิดของเธอคือ หมู่บ้าน Cavalese ในจังหวัดเทรนติโน ซึ่งห่างจากสำนักงานใหญ่ในปัจจุบันของแบรนด์ La Sportiva ที่ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้าน Ziano di Fiemme เพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น

ทำให้ Jonathan Wyatt ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมออกแบบรองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา นอกจากนี้ตั้งแต่ในปี 2017 เขายังได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาสมาคม World Mountain Running Association (WMRA) คนปัจจุบันอีกด้วย

โดยรองเท้าวิ่งภูเขากลุ่มแรกที่ Jonathan Wyatt เป็นผู้ร่วมในการออกแบบในปี 2018 เริ่มจากรุ่นแรกอย่างรุ่น Unika ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะไกลและยังเป็นรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นแรกและรุ่นเดียวของแบรนด์ La Sportiva ที่ถูกผลิตขึ้นในยุโรป (Made in Europe)
ซึ่ง La Sportiva Unika (พื้นสูง 23/31 Drop 8 มม., น.น. 330 กรัม) มาพร้อมกับเทคโนโลยีพื้นชั้นกลางรุ่นใหม่อย่าง Infinitoo ที่ทำมาจากวัสดุ PU ที่มีคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทกได้ดีและมี Energy Return ที่สูงกว่าวัสดุ EVA ทั่วไป รวมทั้งจะไม่มีการเสียรูปหรือเกิดรอยยับถาวรเมื่อถูกใช้งานเป็นระยะเวลายาวนาน

ซึ่ง ณ เวลานั้น แนวคิดพื้นชั้นกลางที่ทำมาจากวัสดุ PU มีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่นำมาใช้ ตัวอย่างเช่น Brooks Levitate (พื้นชั้นกลาง DNA AMP) และ Salomon S/Lab Ultra (เสริมโฟม PU บริเวณปลายเท้า)
โดยรุ่น Unika จะใช้พื้นชั้นกลางที่เป็นวัสดุ PU ตลอดทั้งพื้นแล้วหุ้มด้านนอกด้วยโฟม EVA (คล้ายกับพื้นชั้นกลาง DNA AMP ของ Brooks Levitate) เพื่อเพิ่มความทนทานให้กับเนื้อโฟม PU ด้านใน เนื่องจากวัสดุ PU มีข้อจำกัดในด้านของความไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก
และเนื่องด้วยรองเท้ารุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นในยุโรป ทำให้มันมีราคาตั้งที่สูงถึง $190 หรือราวๆ 6,2xx บาท ซึ่งถือได้ว่ามีราคาที่สูงที่สุดในบรรดารองเท้าวิ่งเทรล ณ เวลานั้น โดยรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันภายในปี 2018 อย่าง Salomon S/Lab Ultra มีราคา $180 และ Hoka One One Evo Mafate มีราคา $170 และส่วนรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับใช้งานทั่วไปมีราคาอยู่ระหว่าง $120 ถึง $140 เท่านั้น
และรองเท้าวิ่งภูเขาอีก 2 รุ่น ที่ Jonathan Wyatt เป็นผู้ร่วมในการออกแบบในปี 2018 คือ รุ่น VK (พื้นสูง 12/16 Drop 4 มม., น.น. 198 กรัม) ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะสั้น ที่เข้ามาสานต่อหน้าที่ของรุ่น Vertical K โดยตรง และรุ่น Lycan (พื้นสูง 17/23 Drop 6 มม., น.น. 268 กรัม) ที่เป็นรองเท้าวิ่งภูเขาอเนกประสงค์สำหรับใช้ฝึกซ้อมในระยะกลาง

ซึ่งรุ่น Lycan หลังจากที่เปิดตัวก็สามารถขึ้นแท่นรองเท้าวิ่งภูเขายอดขายดีของแบรนด์ La Sportiva จนทำให้ในปีต่อมา แบรนด์ La Sportiva เลือกที่จะนำเอารุ่น Lycan มาปรับเปลี่ยนหน้าผ้าให้เป็นหน้าผ้ากันน้ำ Gore-Tex แบบข้อสูงและมาพร้อมกับดอกยางตะปู เพื่อใช้งานในฤดูหนาว แล้วออกเป็นรองเท้ารุ่นใหม่อีกหนึ่งรุ่นภายใต้ชื่อรุ่นที่ถูกเรียกว่า “Blizzard GTX”

และในปี 2019 แบรนด์ La Sportiva ยังได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาน้ำหนักเบาสำหรับใช้ในการแข่งขันระยะกลางรุ่นใหม่อย่างรุ่น Kaptiva (พื้นสูง 11/17 Drop 6 มม.) ที่มีน้ำหนักเพียง 260 กรัม และเป็นรองเท้ารุ่นนี้ที่ทำให้ Nadir Maguet สามารถชนะงานแข่ง Ring of Steall SkyRace ในปี 2019 ได้ รวมไปถึงการทำลายสถิติวิ่งขึ้นยอดเขา Gran Paradiso ในประเทศอิตาลี ในปี 2020 ได้สำเร็จ



นอกจากนี้ภายในปี 2019 ยังมีการเปิดตัวรองเท้ารุ่นสานต่อยอดนิยมอย่างรุ่น Bushido II (พื้นสูง 13/19 Drop 6 มม., น.น. 300 กรัม) ที่ในครั้งนี้ยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นแรกไว้ทุกประการ แต่มีการปรับปรุงเฉพาะในส่วนของหน้าผ้าและมีการเพิ่มตัวรองบุพื้น (Strobel) ที่ทำมาจากวัสดุ EVA หนา 4 มม. เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับแรงกระแทกให้แก่รองเท้า

ก่อนที่ในปี 2020 แบรนด์ La Sportiva จะตัดสินใจยุติสายการผลิตรองเท้ารุ่น Unika หลังจากผลิตและวางจำหน่ายมาได้เพียง 2 ปี เนื่องจากต้นทุนการผลิตในยุโรปที่สูงและประกอบกับปัญหาในเรื่องวัสดุ PU ที่มีข้อจำกัดทั้งในด้านของความไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกและน้ำหนักของเนื้อโฟมที่มากจนเกิน ที่ส่งผลให้รองเท้ารุ่น Unika มีน้ำหนักที่มากถึง 330 กรัม
ซึ่งการยุติสายการผลิตของรุ่น Unika ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่มันคือมรดกทางนวัตกรรมที่จะส่งต่อมายังรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นใหม่ของแบรนด์ La Sportiva
และในปี 2020 แบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะไกลรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อรุ่นที่ถูกเรียกว่า “Jackal” ซึ่งเป็นรองเท้าที่เข้ามารับช่วงต่อของเทคโนโลยี Infinitoo ในรุ่น Unika ต่อไป

โดย La Sportiva Jackal (พื้นสูง 18/25 Drop 7 มม.) เป็นการประยุกต์ใช้วัสดุ PU ที่ในครั้งนี้เป็นการใช้แผ่น PU ขนาดเล็กฝังเข้าไปด้านในของพื้นชั้นกลางในจุดรับแรงสำคัญอย่างบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อทำให้รองเท้าสามารถรับและส่งแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่รองเท้ายังคงมีน้ำหนักที่เบา
ซึ่ง La Sportiva Jackal มีน้ำหนักอยู่ 300 กรัม หรือลดลงกว่าในรุ่น Unika ไปกว่า 30 กรัม ทำให้ในปัจจุบัน La Sportiva Jackal ได้กลายมาเป็นมาตราฐานใหม่ของรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะไกลของแบรนด์ La Sportiva
นอกจากนี้ภายในปี 2020 ทางแบรนด์ La Sportiva ยังมีการเปิดตัวรองเท้ารุ่นสานต่ออีก 2 รุ่น อย่างรุ่น VK BOA (พื้นสูง 12/16 Drop 4 มม., น.น. 180 กรัม) ที่เป็นการติดตั้งระบบรัดเชือกแบบ BOA ให้กับรองเท้ารุ่น VK ในปี 2018 และรุ่น Lycan II (พื้นสูง 12/18 Drop 6 มม., น.น. 315 กรัม) ที่เป็นการเปลี่ยนลักษณะลายดอกยางให้เหมาะกับทางทรุกันดารมากยิ่งขึ้น โดยเป็นการนำลายดอกยางของตระกูล Cross กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเพิ่มความเอนกประสงค์และเหมาะกับทุกสถานการณ์มากยิ่งขึ้นของตระกูล Lycan

ต่อมาในปี 2021 ทางแบรนด์ La Sportiva ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันระยะกลางรุ่นใหม่ที่เหมาะกับการใช้งานบนเส้นทางที่ทรุกันดารอย่างรุ่น Cyklon (พื้นสูง 19.5/27.5 Drop 8 มม., น.น. 330 กรัม) ที่มาพร้อมกับการติดตั้งระบบรัดเชือกแบบ BOA และพื้นชั้นกลางที่มีองค์ประกอบต่างๆ คล้ายกับรุ่น Mutant ในปี 2015 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเสมือนตัวแทนของรุ่น Mutant ในยุคปัจจุบัน

และอีกหนึ่งรุ่นที่ถูกเปิดตัวในปี 2021 นี้ คือรุ่น Karacal ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับฝึกซ้อมแทนที่รองเท้าสำหรับแข่งขันระยะไกลรุ่น Jackal โดยรุ่น Karacal จะมีองศาของพื้นชั้นกลางและลักษณะลายดอกยางที่คล้ายกับรุ่น Jackal ทุกประการ

แต่วัสดุพื้นชั้นกลางในรุ่น Karacal จะเป็นวัสดุ EVA ตลอดทั้งพื้น (ไม่ได้มีการฝังแผ่นโฟม PU ด้านใน) และมีการเพิ่มความสูงของพื้นทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้าอีก 4 มม. (พื้นสูง 22/29, Drop 7 มม., น.น. 290 กรัม) เพื่อเพิ่มความนุ่มสบายในการฝึกซ้อมระยะไกล รวมทั้งวัสดุของดอกยางและหน้าผ้าจะถูกปรับเปลี่ยนให้มีความทนทานในการใช้งานมากกว่าในรุ่น Jackal
ฉะนั้น รองเท้าวิ่งภูเขาของแบรนด์ La Sportiva ในปัจจุบันจะสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
- กลุ่มรองเท้าวิ่งภูเขาก่อนที่ Jonathan Wyatt จะเข้ามา (Before Wyatt Shoe)
- กลุ่มรองเท้าวิ่งภูเขาหลังจาก Jonathan Wyatt เป็นผู้ออกแบบ (After Wyatt Shoe)
กลุ่มรองเท้าวิ่งภูเขาก่อนที่ Jonathan Wyatt จะเข้ามา (Before Wyatt Shoe) จะเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาตั้งแต่ปี 2017 ลงมา ที่ในปัจจุบันแบรนด์ La Sportiva ยังคงผลิตและวางจำหน่ายรองเท้าวิ่งภูเขารุ่นเหล่านี้ (รวมไปถึงมีการปรับปรุง) เนื่องจากยังมีนักวิ่งจำนวนไม่น้อยที่ยังคงชื่นชอบในรองเท้าเหล่านี้ รวมทั้งมีนักวิ่งรุ่นใหม่ที่ต้องการจะสัมผัสความรู้สึกของรองเท้าวิ่งภูเขาแบบในอดีตนั่นเอง โดยในกลุ่มแรกนี้จะมีรองเท้ารุ่นดังต่อไปนี้
- La Sportiva Helios SR – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะสั้น (0 – 10 กม.)
- La Sportiva Bushido II – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะสั้นถึงกลาง (0 – 50 กม.)
- La Sportiva Mutant – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะกลางถึงไกล (50 – 100 กม.)
- La Sportiva Akasha – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะไกล (100 – 170 กม.)
- La Sportiva Akyra – รองเท้าวิ่งภูเขากึ่งเดินป่า
- La Sportiva Ultra Raptor – รองเท้าวิ่งภูเขากึ่งเดินป่า
- La Sportiva Helios III – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับใช้งานทั่วไป
กลุ่มรองเท้าวิ่งภูเขาหลังจาก Jonathan Wyatt เป็นผู้ออกแบบ (After Wyatt Shoe) ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา โดยรองเท้ากลุ่มนี้จะเป็นรองเท้าวิ่งภูเขาเจเนอเรชั่นใหม่ ที่เน้นในด้านของประสิทธิภาพในการแข่งขันเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบัน นักแข่งภายในทีม La Sportiva ส่วนใหญ่จะสวมใส่รองเท้ารุ่นเหล่านี้ในการแข่งขันเป็นหลัก โดยในกลุ่มนี้จะมีรองเท้ารุ่นดังต่อไปนี้
- La Sportiva VK BOA – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะสั้น (0 – 10 กม.)
- La Sportiva Kaptiva – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะสั้นถึงกลาง (0 – 50 กม.)
- La Sportiva Cyklon – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะกลางถึงไกล (50 – 100 กม.)
- La Sportiva Jackal – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับแข่งขันในระยะไกล (100 – 170 กม.)
- La Sportiva Karacal – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับซ้อมในระยะกลางถึงไกล
- La Sportiva Lycan II – รองเท้าวิ่งภูเขาสำหรับซ้อมในระยะสั้นถึงกลาง

และสำหรับประวัติแบรนด์ La Sportiva ตอนที่ 5 สู่อนาคตของรองเท้าวิ่งภูเขา ทางเราต้องขอจบไว้ ณ ตรงนี้ และในตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายกันแล้วกับประวัติแบรนด์ La Sportiva ที่เล่าถึงบทสรุปผู้บริหารและครอบครัว Delladio ในปัจจุบัน ประวัติจะน่าสนในแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
และแบรนด์ La Sportiva ได้เข้ามายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งท่านใดที่สนใจผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถติดตามได้ในช่องทาง FB: La Sportiva Thailand หรือสามารถสั่งซื้อสินค้าของแบรนด์ La Sportiva ได้ที่ทาง Shopee ได้เลยครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ และสามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน