วันนี้เรามาอธิบายและรีวิว (ผ่า) La Sportiva Jackal รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกลสุดล้ำจากอิตาลี ที่จะเป็นการเจาะลึกถึงเทคโนโลยีภายในและความคิดเห็นเกี่ยวกับรองเท้าวิ่งเทรลคู่นี้ ซึ่งจะน่าสนใจเพียงใด เชิญติดตามได้เลยครับ

ปล. ท่านใดที่ชื่นชอบรีวิวแบบวิดีโอ สามารถรับชม รีวิว (ผ่า) La Sportiva Jackal ได้ที่นี่เลยครับ
คำชี้แจง:
- การผ่ารองเท้าวิ่งในทุกๆ ครั้งของทางเรา Running Profiles มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการศึกษาเทคโนโลยีภายในรองเท้าและเผยแพร่ให้ความรู้แก่นักวิ่งทุกท่าน โดยรองเท้าวิ่งที่ถูกผ่าแต่ละคู่จะถูกเก็บรักษาไว้เป็นแหล่งอ้างอิงอย่างดี ไม่มีการนำไปทิ้งเป็นขยะ
- ซึ่งทางเราไม่แนะนำหรือสนับสนุนให้นักวิ่งผ่ารองเท้าวิ่ง แม้ว่าจะมีการใช้งานมาแล้วก็ตาม โดยรองเท้าวิ่งที่ถูกใช้งานแล้ว ทางเราแนะนำให้นำไปบริจาคหรือส่งต่อให้นักวิ่งที่มีความต้องการใช้งานต่อ
- โดยทางเราสนับสนุนและรณรงค์ให้ทุกท่านเห็นคุณค่าของอุปกรณ์ทุกชิ้น และส่งเสริมการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตอุปกรณ์กีฬา เพื่อลดปริมาณขยะและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
ประวัติ ผลงาน และข้อมูลจำเพาะของ La Sportiva Jackal

La Sportiva Jackal เป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่ถูกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในช่วงต้นปี 2020 ในฐานะของรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันทำความเร็วระยะทางไกล (0 ถึง 170 กม.) หรือระยะทางที่ไกลกว่านั้น บนสภาพเส้นทางทุกรูปแบบโดยเฉพาะ
- น้ำหนัก: 305 กรัม ในไซส์ 42EU ชาย และ 275 กรัม ในไซส์ 38EU หญิง
- น้ำหนักชั่งจริง: 352 กรัม ในไซส์ 45EU ชาย ซึ่งเป็นไซส์เดียวกับเบอร์ 10.5US ของแบรนด์ Hoka One One
- Offset: 7 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 29 มม.)
- ดอกยางสูง 3.5 มม.
- มีเฉพาะหน้าเท้าแบบ High Volume (กว้างที่สุดของแบรนด์ La Sportiva)
- ราคา: 5,950 บาท
และ La Sportiva Jackal ยังถือเป็นรองเท้าวิ่งเทรลยุคใหม่ของแบรนด์ La Sportiva ที่ Jonathan Wyatt นักวิ่งชาวนิวซีแลนด์และเจ้าของแชมป์เหรียญทองรายการแข่ง World Mountain Running Championships 6 สมัย เป็นผู้ร่วมออกแบบ

โดยชื่อ Jackal เป็นชื่อของหมาจิ้งจอกขนาดกลางตระกูลหนึ่ง ที่มีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะแก่การล่าเหยื่อในระยะทางไกล ซึ่งหมาจิ้งจอกพันธุ์นี้สามารถวิ่งคงความเร็วได้ถึง 16 กม. ต่อ ชม. (หรือราวๆ เพซ 3:45 นาที/กม.) รวมทั้ง มันยังมีความฉลาดเฉลียวในการล่าเหยื่ออีกด้วย

โดยเทคโนโลยีที่ทำให้รองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal ล้ำสมัยเป็นอย่างมากในครั้งแรกที่เปิดตัว นั่นก็คือ เทคโนโลยีพื้นชั้นกลาง Infinitoo ที่ได้รับสานต่อมาจากรุ่น Unika ในปี 2018

ซึ่งเทคโนโลยีพื้นชั้นกลาง Infinitoo คือ การฝังแผ่นโฟมวัสดุ PU ที่โดดเด่นในเรื่องของ Energy Return ที่สูงและการช่วยซับแรงกระแทกได้ดี เข้าไปด้านในของพื้นชั้นกลางในจุดรับแรงสำคัญอย่างบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อทำให้รองเท้าสามารถรองรับแรงกระแทกและส่งแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และคุณสมบัติที่โดดเด่นโดยปกติของวัสดุ PU คือ มีความทนทานในการใช้งานที่สูง ซึ่งเมื่อถูกใช้งานเป็นระยะเวลายาวนาน เนื้อโฟม PU จะสามารถคงรูปหรือสูญเสียคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทกได้ยากกว่าวัสดุ EVA ทั่วไป
และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่ถูกติดตั้งเข้ามา คือ แผ่นเพลทพลาสติกแข็ง ที่วางยาวตั้งแต่บริเวณปลายเท้าจนถึงส้นเท้า ซึ่งทำหน้าที่ช่วยทั้งปกป้องเท้าจากหินหรือกิ่งไม้ที่คมๆ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรงและประหยัดแรงในการวิ่งระยะทางไกล โดยถือได้ว่าเป็นรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นแรกๆ ที่มาพร้อมกับแผ่นเพลท ณ เวลานั้น

นอกจากนี้ La Sportiva Jackal ยังถูกออกแบบให้มีองศาพื้นชั้นกลาง (หรือ องศา Rocker) ที่โค้งและชันกว่ารองเท้าวิ่งเทรลในอดีต ทำให้ทุกย่างก้าวที่ลงเท้าเป็นไปอย่างลื่นไหลและประหยัดแรง
และหลังจากถูกเปิดตัวไปได้ไม่นาน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 นักวิ่งระยะไกลชาวอเมริกัน John Kelly ได้สวมใส่รองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal วิ่งทำลายสถิติบนเส้นทาง Pennine Way ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเทรลที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ โดยมีระยะทางไกลถึง 268 ไมล์ หรือ 431 กิโลเมตร และมีความชันสะสมอยู่ที่ 11,836 เมตร ด้วยระยะเวลาเพียง 64 ชั่วโมง 46 นาที (หรือ 2 วัน 16 ชั่วโมง 46 นาที)

ซึ่งเป็นการทำลายสถิติ 65 ชั่วโมง 20 นาที 15 วินาที (หรือ 2 วัน 17 ชั่วโมง 20 นาที 15 วินาที) ของ Mike Hartley ที่ถูกทำไว้ในปี 1989 หรือเมื่อ 31 ปีก่อนลงได้ แต่สถิติของ John Kelly ก็ถูกทำลายลงใน 8 วันต่อมา โดยเพื่อนของเขาอย่าง Damian Hall จากทีม Inov-8 ด้วยเวลา 61 ชั่วโมง 35 นาที 15 วินาที (หรือ 2 วัน 13 ชั่วโมง 35 นาที 15 วินาที)
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2021 John Kelly กลับมาอีกครั้งจากการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงเป็นระยะเวลาถึง 10 เดือน และในครั้งนี้เขาไม่เพียงจะมีเป้าหมายเพื่อทำลายสถิติเพื่อนของเขาเท่านั้น แต่จะทำให้สถิตินี้คงอยู่ไปอีกยาวนาน โดยในครั้งนี้ เขาเร่งความเร็วอย่างเต็มที่และลดเวลาในการนอนเหลือเพียง 1 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น

สุดท้าย John Kelly และรองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal คู่ใจของเขาก็สามารถทำลายสถิติเส้นทาง Pennine Way ได้อีกครั้ง ด้วยระยะเวลาเพียง 58 ชั่วโมง 4 นาที 53 วินาที เท่านั้น (หรือ 2 วัน 10 ชั่วโมง 4 นาที 53 วินาที) ซึ่งเร็วกว่าสถิติที่เพื่อนของเขาทำไว้กว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
และในประเทศไทยเองก็มีนักวิ่งเทรลอาชีพจากทีม La Sportiva Thailand อย่าง พี่โชค “ศุภโชค แพเพรชทอง”, พี่ยศ “ยศชัย ชัยพรหมมา”, และ พี่ยีน “ดนล รัตนธำรงค์” ที่สวมใส่รองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal ลงสนามแข่งคว้าถ้วยทั้งระยะสั้นและระยะไกลมาแล้ว ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่ารองเท้าวิ่งเทรลระยะไกลคู่นี้ไม่ธรรมดา

รีวิว (ผ่า) La Sportiva Jackal
ในส่วนของการรีวิวสามารถแบ่งประเด็นได้ดังนี้
หน้าผ้า (Upper)

หน้าผ้าของ La Sportiva Jackal จะประกอบไปด้วยเนื้อผ้า 4 ส่วนหลัก โดยแบ่งเป็น
(1) เนื้อผ้าบริเวณปลายเท้าจะเป็นเนื้อผ้า Sandwich Mesh หรือที่ชาวไทยคุ้นหูกันในชื่อของ Air Mesh ซึ่งเป็นผ้าตาข่ายที่ประกอบไปด้วย 3 ชั้น คือ เนื้อผ้าด้านบน เส้นใยตรงกลาง และเนื้อผ้าด้านล่าง โดยคุณสมบัติเด่นของเนื้อผ้าชนิดนี้คือ ความนุ่มและความทนทานในใช้งาน รวมทั้งยังสามารถระบายอากาศได้ดี



(2) เนื้อผ้าบริเวณลิ้นรองเท้าจะเป็นเนื้อผ้า Lycra ที่มีความยืดหยุ่นและสวมใส่สบาย โดยจะมีการตัดเย็บให้ลิ้นรองเท้าเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันกับหน้าผ้า เสมือนเป็นผ้าชิ้นเดียว ซึ่งเรียกว่า Gusseted Tongue ทำให้สามารถช่วยป้องกันเศษหินและเศษดินที่จะหลุดรอดเข้าไปภายในรองเท้าได้ และภายในจะมีการบุฟองน้ำที่หนาและนุ่มกำลังดี


(3) เนื้อผ้าด้านข้างบริเวณกลางเท้าจะเป็นเนื้อผ้าไนลอนแบบโปร่งแสง (Mono-Burr Nylon) ที่ระบายอากาศและน้ำได้ดี และมีความทนทานต่อการขีดข่วน

(4) เนื้อผ้าบริเวณส้นเท้าและขอบบริเวณส้นเท้าจะเป็นเนื้อผ้าไมโครไฟเบอร์ที่ทนทานต่อการเสียดสีและมีความฝืด ทำให้เนื้อผ้าสามารถจับกระชับกับถุงเท้าได้เป็นอย่างดี และในส่วนของ Heel Counter ภายในจะเป็นพลาสติกแข็งรอบส้นเท้า ที่ช่วยประคองและปกป้องบริเวณส้นเท้า รวมทั้งมีการบุขอบบริเวณส้นเท้าด้วยฟองน้ำ เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่


โดยจุดเด่นหลักและเป็นเรื่องที่ทางแบรนด์ La Sportiva ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในรองเท้าวิ่งเทรลทุกคู่ คือ ความทนทานและความสามารถในการปกป้องเท้า ที่ต้องมาเป็นอันดับแรก
ซึ่งหน้าผ้าของ La Sportiva Jackal จะมาพร้อมกับ Toe Cap แบบแข็งและมีการสกรีนยาง TPU รอบตัวรองเท้า ทำให้สามารถช่วยปกป้องเท้าได้เป็นอย่างดีและช่วยเพิ่มความทนทานในการใช้งาน


และอีกหนึ่งจุดเด่น คือ ความกว้างของหน้าเท้าแบบ High Volume หรือเป็นความกว้างของหน้าเท้าที่กว้างที่สุดของแบรนด์ La Sportiva ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อเพิ่มความสบายในการวิ่งระยะทางไกลและช่วยลดการเสียดสีและป้องกันอาการหน้าผ้ากัดบริเวณปลายเท้า
โดยรวม หน้าผ้าของ La Sportiva Jackal เป็นหน้าผ้าที่สวมใส่สบาย หน้าเท้ากว้าง ล็อคบริเวณส้นเท้าได้เป็นอย่างดีและไม่มีอาการส้นรูด โดยยังคงระบายอากาศและน้ำได้ดี ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นของหน้าผ้าในรองเท้าคู่นี้ เลยก็คือ ความทนทานและสามารถในการปกป้องเท้าที่ยอดเยี่ยม

ซึ่งสิ่งที่ทางเราจะแนะนำเพิ่มเติม คือ ในเรื่องไซส์ของรองเท้าวิ่งเทรลแบรนด์ La Sportiva ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ค่อนข้างมาก เช่น ไซส์ 45EU ของแบรนด์ La Sportiva จะมีความยาวเท่ากับไซส์ 10.5US ของแบรนด์อื่นๆ ซึ่งโดยปกติ 45EU ส่วนใหญ่จะเป็นไซส์ 11US ทำให้ไซส์ของแบรนด์ La Sportiva จะมีความสั้นกว่าของแบรนด์อื่นๆ
วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเลือกไซส์รองเท้าวิ่งเทรลของแบรนด์ La Sportiva คือ การดูจากตารางไซส์ของทางแบรนด์ ดังต่อไปนี้

โดย Mondo Point (cm) คือ ความยาวของแผ่นรองรองเท้าภายใน (หรือ Insole) ซึ่งไม่ใช่ความยาวเท้าของนักวิ่ง ฉะนั้น นักวิ่งต้องวัดความยาวของแผ่นรองในรองเท้าวิ่งที่ตนเองเคยใช้งานเป็นเซนติเมตร แล้วนำมาเทียบกับตาราง
ตัวอย่างเช่น ปกติแล้วทางเราใช้งานรองเท้าวิ่งไซส์ 11US โดยมีความยาวของแผ่นรองโดยประมาณอยู่ที่ 29.5 ซม. โดยเมื่อเทียบในตารางไซส์ของแบรนด์ La Sportiva จะได้ไซส์ใกล้เคียงสุดคือ 46EU นั่นเอง

หรือหากท่านใดที่สะดวกได้ลองสวมที่ร้าน ทางเราแนะนำว่า นิ้วเท้าที่ยาวที่สุด (เวลาใส่ถุงเท้าแล้ว) ควรจะอยู่ห่างจาก Toe Bumper ประมาณ 2 -2.5 ซม. ดังรูปภาพต่อไปนี้

โดย La Sportiva Jackal หากสวมใส่ไซส์เล็กจนเกินไปขอบบริเวณส้นเท้าจะมีอาการเสียดสีกับเอ็นร้อยหวายได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกไซส์ให้ถูกต้อง

พื้นชั้นกลาง (Midsole)

La Sportiva Jackal มาพร้อมกับพื้นชั้นกลางวัสดุ EVA แบบความหนาแน่นสองส่วน (Dual-Density) ที่มีการติดตั้งเทคโนโลยี Infinitoo หรือแผ่นโฟมวัสดุ PU ในจุดรับแรงสำคัญที่ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า ซึ่งทั้งสองจุดจะมีการออกแบบคุณสมบัติของแผ่นโฟมที่ต่างกัน โดย
- แผ่นโฟมวัสดุ PU บริเวณปลายเท้าจะมีความหนาอยู่ที่ 5 มม. ถูกออกแบบให้มี Energy Return ที่สูง ทำให้สามารถส่งแรงได้ดีขณะวิ่งขึ้นเขา
- แผ่นโฟมวัสดุ PU บริเวณส้นเท้าจะมีความหนาอยู่ที่ 10 มม. ถูกออกแบบให้ซับแรงกระแทกได้ดีเป็นหลัก ทำให้ช่วยลดการสั่นไหวของกล้ามเนื้อขาและเท้าขณะวิ่ง ทำให้กล้ามเนื้อขาและเท้าไม่ล้ามากจนเกินไปในการวิ่งระยะไกล



โดยพื้นชั้นกลางวัสดุ EVA จะทำหน้าที่เป็นกรอบเพิ่มความเสถียรและมั่นคงให้แก่ตัวรองเท้า และแผ่นโฟมวัสดุ PU จะทำหน้าที่ช่วยรับและส่งแรงขณะวิ่ง
ซึ่งโดยรวม พื้นโฟมทั้งส่วนที่เป็นวัสดุ EVA และแผ่นโฟม PU จะเป็นแบบความหนาแน่นสองส่วน โดยที่บริเวณปลายเท้าจะมีความเฟิร์มกว่าบริเวณส้นเท้า เพื่อช่วยประหยัดแรงและลดอาการล้าของเท้าขณะวิ่งขึ้นเขา ในขณะที่ส้นเท้าที่นุ่มกว่าจะช่วยซับแรงกระแทกขณะวิ่งบนทางดินเรียบและวิ่งลงเขา

นอกจากนี้ บริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้าจะมีการเสริมกรอบโฟม EVA (สีดำ) เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรและป้องกันการบิดตัวบริเวณกลางเท้าเข้ามาอีกหนึ่งชั้น

ความนุ่มพื้นชั้นกลางของ La Sportiva Jackal
ความนุ่มของพื้นชั้นกลาง | ค่าความนุ่ม (Durometer Shore C: HC) | ระดับความนุ่ม |
(1) เนื้อโฟม EVA บริเวณปลายเท้า (โฟมสีส้ม) | 50 – 55 | เฟิร์ม |
(2) เนื้อโฟม EVA บริเวณส้นเท้า (โฟมสีส้ม) | 40 – 45 | นุ่ม |
(3) แผ่นโฟมวัสดุ PU บริเวณปลายเท้า (โฟมสีขาว) | 40 – 45 | นุ่ม |
(4) แผ่นโฟมวัสดุ PU บริเวณส้นเท้า (โฟมสีขาว) | 30 – 35 | นุ่มมาก |
(5) กรอบโฟมด้านข้างบริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้า (โฟมสีดำ) | 40 – 45 | นุ่ม |

หมายเหตุ:
- ค่า Durometer Shore C ยิ่งค่าน้อย หมายถึง ยิ่งนุ่มมาก
- ระดับความนุ่มแบ่งเป็น นุ่ม (40-50 HC) ➞ นุ่มปานกลาง (35-40 HC) ➞ นุ่มมาก (30-35 HC)
- ระดับความเฟิร์มแบ่งเป็น เฟิร์ม (50-60 HC) ➞ เฟิร์มมาก (60-70 HC)
นอกจากนี้ ด้านล่างสุดของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้ง แผ่นเพลทพลาสติกแข็ง ที่วางยาวตั้งแต่บริเวณปลายนิ้วเท้าไปจนถึงบริเวณส้นเท้า โดยทำหน้าที่ 3 ประการ ได้แก่
- หนึ่งคือ ทำหน้าที่เป็นแผ่นรองกันหิน (Rock Plate) ซึ่งช่วยปกป้องเท้าของนักวิ่งจากหินหรือกิ่งไม้ที่คมๆ
- สองคือ ทำหน้าที่เป็นแผ่นเพลทส่งแรง (Propulsive Plate) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยันตัวส่งแรงบริเวณปลายเท้า โดยเฉพาะขณะวิ่งขึ้นเขา
- สามคือ ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการบิดตัว (Torsion) หรืออาการรองเท้าหักบริเวณกลางเท้า

โดยความสูงของพื้นชั้นกลาง La Sportiva Jackal เมื่อวัดจริง (รวมแผ่นรองบุพื้นและแผ่นเพลท แต่ไม่รวมแผ่นรองรองเท้าและดอกยาง) จะมีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 15 มม. และส้นเท้าสูง 25 มม. ทำให้มี Drop อยู่ที่ 10 มม.

ในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (Insole) จะใช้เป็นแผ่นรองลิขสิทธิ์เฉพาะที่ทางแบรนด์ La Sportiva ทำร่วมกับแบรนด์ OrthoLite ที่มีชื่อว่า “Mountain Running Ergonomic”
ซึ่งเป็นแผ่นรองวัสดุ Open Cell PU ที่มีการขึ้นรูปแผ่นรองให้เข้ากับรูปทรงเท้าของนักวิ่งโดยเฉพาะ ทำให้แผ่นรองสามารถโอบกระชับเข้าเป็นส่วนเดียวกับเท้าของนักวิ่ง โดยมีความหนาของแผ่นรองอยู่ที่ 4.5 มม. และในส่วนของแผ่นรองบุพื้น (Strobel) จะเป็นผ้าไนลอนตาข่ายแข็ง

ทำให้เมื่อวัดรวมความสูงทั้งหมด (รวมแผ่นรองบุพื้น แผ่นรองรองเท้า แผ่นเพลท และดอกยาง) จะมีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 25 มม. และส้นเท้าสูง 35 มม. ทำให้มี Drop อยู่ที่ 10 มม.

ซึ่งพื้นชั้นกลางของ La Sportiva Jackal ถือเป็นหนึ่งในพื้นชั้นกลางที่มีการออกแบบที่ซับซ้อน ที่พื้นโฟมแต่ละส่วนมีการออกแบบความนุ่มที่ไม่เท่ากัน และแม้ว่าแผ่นโฟมวัสดุ PU จะมีความนุ่ม แต่เมื่อรวมกับกรอบโฟม EVA, แผ่นเพลท, และแผ่นรองบุที่เป็นผ้าไนลอนที่ค่อนข้างแข็ง
ทำให้โดยรวมแล้วจะให้ความรู้สึกว่า บริเวณปลายเท้าค่อนข้างเฟิร์ม แน่น ยันตัวได้ดี ไม่เสียแรงขณะวิ่งขึ้นเขา และในส่วนบริเวณส้นเท้าจะให้ความรู้สึกที่นุ่มกว่าบริเวณปลายเท้า เน้นไปที่การซับแรงกระแทกได้ดีเป็นหลัก ทำให้ช่วยลดความล้าของกล้ามเนื้อขาและเท้าในการวิ่งระยะไกลบนทางดินเรียบและการวิ่งลงเขา

โดยรวม พื้นชั้นกลางของ La Sportiva Jackal เป็นพื้นชั้นกลางที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้วิ่งในระยะทางไกลโดยเฉพาะ ทำให้มีการออกแบบเน้นไปที่การซับแรงกระแทกได้ดีเป็นหลัก โดยไม่ละทิ้งการตอบสนองที่ดีขณะวิ่งขึ้นเขาและความเสถียร รวมทั้งยังสามารถปกป้องเท้าจากหินหรือกิ่งไม้คมๆ ได้เป็นอย่างดี

ดอกยาง (Outsole)

La Sportiva Jackal จะมาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะอย่าง Dual compound FriXion Red ซึ่งเป็นเนื้อยางที่เน้นไปที่ความสมดุลระหว่างการยึดเกาะพื้นและความทนทานในการใช้งาน โดยดอกยางจะประกอบไปด้วยเนื้อยาง 2 ชนิด คือ
- เนื้อยางที่เน้นความทนทาน (หรือเนื้อยางสีดำ) ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณขอบนอกของพื้น ที่การลงเท้าของนักวิ่งจะสัมผัสบริเวณเหล่านี้ก่อน โดยบริเวณนี้ดอกยางจะมีความสูงอยู่ที่ 3.5 มม.
- เนื้อยางที่เน้นการยึดเกาะพื้น (หรือเนื้อยางสีเทา) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณกลางของพื้นและบริเวณส้นเท้า ซึ่งเป็นเนื้อยางที่มีความเหนียวและเกาะพื้นได้ดี โดยบริเวณนี้ดอกยางจะมีความสูงอยู่ที่ 4.5 มม.

นอกจากนี้ ดอกยางยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Impact Brake System (IBS) ซึ่งเป็นการออกแบบลักษณะของดอกยางที่สามารถช่วยลดแรงกระแทกจากการวิ่งได้ ที่จะส่งผลช่วยลดความล้าของกล้ามเนื้อขาและเท้าในการวิ่งระยะไกล
ในด้านประสิทธิภาพของการยึดเกาะพื้นของเนื้อดอกยาง สามารถแบ่งได้ดังนี้
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง ดอกยางของ La Sportiva Jackal สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่ามาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 46 องศา (ค่ามาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่แห้งอยู่ 35 องศา และ Vibram MegaGrip อยู่ที่ 45 องศา)
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวที่เปียกน้ำ ดอกยางของ La Sportiva Jackal สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่ามาตรฐานเช่นกัน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 37 องศา (ค่ามาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำอยู่ 30 องศา และ Vibram MegaGrip อยู่ที่ 36 องศา)

โดยรวม ดอกยางของ La Sportiva Jackal สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีทั้งบนพื้นผิวที่แห้งและเปียกน้ำ รวมทั้งยังมีความทนทานในการใช้งาน

สรุปโดยรวม

ต้องกล่าวกันก่อนว่า รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันในระยะทางไกล (0 ถึง 170 กม.) โดยปกติจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับใช้ในสนามแข่งที่ทรุกันดารและมีภูเขาที่สูงชันโดยเฉพาะ ซึ่งรองเท้าในกลุ่มนี้จะมีการออกแบบเน้นไปที่ความเสถียรและคล่องตัว โดยที่ปลายเท้าเฟิร์มและส้นเท้านุ่ม เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการวิ่งขึ้นและลงเขา โดยสนามแข่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในฝั่งของประเทศในกลุ่มยุโรป เช่น รายการแข่ง UTMB ที่มีเส้นทางที่ทรุกันดารและความชันสะสมที่มากกว่า 10,000 เมตร ตลอดระยะทาง 170 กม.
- ตัวอย่างรองเท้าวิ่งในกลุ่มนี้ เช่น Hoka One One ตระกูล Mafate, Kailas ตระกูล Fuga Pro, Salomon ตระกูล S/LAB Ultra, The North Face Flight VECTIV, และ La Sportiva รุ่น Jackal และ Akasha
รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับใช้ในสนามแข่งที่ค่อนข้างเรียบและมีภูเขาที่ไม่สูงชันโดยเฉพาะ ซึ่งรองเท้าในกลุ่มนี้จะมีการออกแบบเน้นไปที่ความหนานุ่ม ฐานกว้าง โดยที่ปลายเท้าและส้นเท้ามีความหนาและนุ่มไม่ต่างกัน ซึ่งปริมาณเนื้อโฟมที่มากจะช่วยประหยัดแรงในการวิ่งบนทางเรียบและลงเขา โดยสนามแข่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในฝั่งของประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น Western States 100-Mile ที่มีเส้นทางที่ค่อนข้างเรียบ และภูเขาไม่สูงชัน รวมทั้งเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางลงเขา โดยมีความชันสะสมอยู่ที่ 5,500 เมตร ตลอดระยะทาง 161 กม.
- ตัวอย่างรองเท้าวิ่งในกลุ่มนี้ เช่น Hoka One One ตระกูล Speedgoat, Kailas ตระกูล Fuga EX, และ Brooks Caldera 6
ซึ่ง La Sportiva Jackal ถือได้ว่าทำหน้าที่ในฐานะของรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับใช้ในสนามแข่งที่ทรุกันดารและมีภูเขาที่สูงชันได้เป็นอย่างดี โดยบริเวณปลายเท้าที่ค่อนข้างเฟิร์มและแน่น ทำให้สามารถยันตัวส่งแรงได้ดีขณะวิ่งขึ้นเขา และในส่วนบริเวณส้นเท้าที่นุ่มและซับแรงกระแทก ช่วยลดความล้าของกล้ามเนื้อขาและเท้าในการวิ่งระยะไกลบนทางดินเรียบและการวิ่งลงเขา

รวมทั้ง ฐานของรองเท้าที่ไม่กว้างมาก ทำให้รองเท้าให้ความรู้สึกที่คล่องตัวและสามารถสลับทิศทางในการวิ่ง เพื่อหลบหลีกอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ละทิ้งความเสถียรและมั่งคง
และแผ่นเพลทที่ช่วยปกป้องเท้าและช่วยประหยัดแรงในการวิ่งก็ยังเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นในรองเท้าคู่นี้

นอกจากนี้ ในส่วนของหน้าผ้าที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องความทนทานและปกป้องเท้าได้อย่างยอดเยี่ยม ยังมีความกว้างและสวมใส่สบาย ประกอบกับดอกยางที่เกาะพื้นได้ดีเป็นอย่างมาก ทำให้วิ่งแล้วรู้สึกมั่นใจว่าจะไม่ลื่นหรือไหลขณะวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร
ฉะนั้น La Sportiva Jackal เป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่เหมาะกับการวิ่งระยะไกล (0-170 กม.) หรือระยะทางไกลที่ไกลกว่านั้น บนเส้นทางที่ทรุกันดารและมีภูเขาที่สูงชัน

และนี่คือทั้งหมดของรองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal นะครับ
ท่านใดที่สนใจรองเท้าวิ่งเทรล La Sportiva Jackal สามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่นี่เลยครับ
- Website: La Sportiva Thailand
- Shopee: La Sportiva Thailand Shopee
- Lazada: La Sportiva Runner Cart
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles