วันนี้เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งานรองเท้าวิ่ง New Balance Fresh Foam X More v4 รองเท้าวิ่งพรีเมี่ยมหนานุ่มสำหรับซ้อมประจำวันและซ้อมวิ่งระยะไกล ที่ทางเราชอบและรักมากที่สุดคู่หนึ่งในปี 2022 นี้ ซึ่งจะน่าสนใจแค่ไหน และเหมาะกับการใช้งานแบบใด รวมไปถึงประวัติการปรับปรุงของซีรีส์ Fresh Foam More เชิญติดตามได้เลยครับ

ประวัติและการปรับปรุงของ New Balance ตระกูล Fresh Foam ซีรีส์ More
ในปี 2022 ทางแบรนด์ New Balance ได้มีการวางตำแหน่งรองเท้าวิ่งตระกูล Fresh Foam ให้มุ่งเน้นในด้านของความนุ่ม การรองรับแรงกระแทก ความเสถียรมั่นคง และความสบายในการสวมใส่ที่ดีที่สุดของแบรนด์
ทำให้รองเท้าวิ่งในตระกูล Fresh Foam จะมีความเอนกประสงค์ในการใช้งาน ที่สามารถใช้ฝึกซ้อมวิ่ง และใช้ออกกำลังกายประจำวัน รวมไปถึงการใช้เดินและทำงานในชีวิตประจำวันหรือสวมใส่ไปท่องเที่ยว

และตระกูล Fresh Foam ที่ดีที่สุดและถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพในการนำไปใช้ฝึกซ้อมวิ่งจะอยู่ในกลุ่มของตระกูลย่อยอย่าง Fresh Foam X โดยพื้นชั้นกลาง Fresh Foam X ในกลุ่มรองเท้าวิ่งปี 2022 ส่วนใหญ่จะได้รับการปรับแต่งสูตรโฟมใหม่จาก Fresh Foam X กลุ่มแรกในปี 2019 ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันตระกูล Fresh Foam X ประกอบไปด้วยรองเท้าวิ่ง 6 รุ่นหลัก ได้แก่
- New Balance Fresh Foam X Tempo v2 (สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 22/28 (Drop 6 มม.)
- New Balance Fresh Foam X 880 v12 (สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 25/35 (Drop 10 มม.)
- New Balance Fresh Foam X 860 v12 (สำหรับนักวิ่งเท้าแบน) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 25/35 (Drop 10 มม.)
- New Balance Fresh Foam X 1080 v12 (สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 28/36 (Drop 8 มม.)
- New Balance Fresh Foam X Vongo v5 (สำหรับนักวิ่งเท้าแบน) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 26/34 (Drop 8 มม.)
- New Balance Fresh Foam X More v4 (สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ) มีความสูงพื้นชั้นกลาง 31/35 (Drop 4 มม.)

และทุกรุ่นจะถูกวางตำแหน่งให้เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวัน (Daily Trainers) โดยนักวิ่งจะเลือกเพียงแค่ความหนาของพื้นชั้นกลางที่แตกต่างกัน, ความพรีเมี่ยมของหน้าผ้าตามความชื่นชอบ และลักษณะเท้าของนักวิ่ง เช่น เท้าปกติ (Neutral) หรือเท้าแบน (Overpronation) เท่านั้น ซึ่งวัตถุประสงค์ในการใช้งานจะใกล้เคียงกันทุกคู่ โดยจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
โดยรองเท้าวิ่ง New Balance Fresh Foam ซีรีส์ More ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์น้องใหม่ในตระกูล ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 ในฐานะของรองเท้าวิ่งพรีเมี่ยมหนานุ่มสำหรับซ้อมประจำวัน (Maximalist Daily Trainer) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral) ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อใช้ในการฝึกซ้อมวิ่งประจำวัน (Daily Run), ซ้อมวิ่งในวันพัก (Recovery Run), และซ้อมวิ่งระยะไกล (Long Run)

และ New Balance ซีรีส์ More จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในด้านการของเป็นรองเท้าวิ่งที่รองรับแรงกระแทกได้ดีที่สุดและมีความนุ่มมากที่สุดของตระกูล Fresh Foam
และตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นที่ 4 ในปัจจุบันของซีรีส์ More ทางแบรนด์ New Balance จะเป็นการยกเครื่องปรับปรุงแก้ไขใหม่ทั้งหมด ซึ่งไม่มีการนำแม่พิมพ์เดิมมาใช้ โดยเป็นการปรับปรุงแก้ไขแบบปีต่อปีให้ดีขึ้นตามความต้องการของนักวิ่งอยู่เสมอ
ซึ่ง New Balance Fresh Foam X More v4 จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Fresh Foam X ที่มีการปรับแต่งสูตรโฟมขึ้นมาใหม่ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและเป็นสูตรโฟม Fresh Foam X ที่มีความนุ่มที่สุด ณ เวลานี้ รวมทั้งวัสดุพื้นชั้นกลางจะมีการผสมวัสดุที่มาจากธรรมชาติ (Bio-based) ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาอีก 3 เปอร์เซ็นต์

และทางแบรนด์ New Balance จะมีการเพิ่มความสูงของพื้นชั้นกลางจากรุ่นปีก่อนหน้าอีก 2 มม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับแรงกระแทก และขยายความกว้างของฐานรองเท้าอีก 5 มม. เพื่อเพิ่มความเสถียรและมั่นคง รวมทั้งมีการปรับองศา Rocker ของพื้นชั้นกลางใหม่ทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อให้การวิ่งมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเมื่อเทียบความสูงของพื้นชั้นกลางกับรุ่นปีก่อนหน้าจะได้ดังนี้
- New Balance Fresh Foam X More v4 มีความสูงบริเวณปลายเท้า 31 มม. และส้นเท้า 35 มม. (Drop: 4 มม.)
- New Balance Fresh Foam X More v3 มีความสูงบริเวณปลายเท้า 29 มม. และส้นเท้า 33 มม. (Drop: 4 มม.)

และในส่วนของหน้าผ้าจะเป็นการออกแบบใหม่ให้มีความเรียบง่ายและลดการสกรีนยางที่ไม่จำเป็น รวมทั้งหน้าผ้าจะมีการใช้วัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำ 50 เปอร์เซ็นต์
โดยทั้งการใช้วัสดุรีไซเคิลในหน้าผ้าและวัสดุ Bio-Based ในพื้นชั้นกลาง ถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทางแบรนด์ New Balance เรียกว่า “New Balance’s green leaf standard” ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงการนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในผลิตภัณฑ์รองเท้าและชุดเสื้อผ้าของแบรนด์

และเมื่อเทียบน้ำหนักกับรุ่นปีก่อนหน้าจะได้ดังนี้
- New Balance Fresh Foam X More v4 มีน้ำหนัก 295 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 237 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- New Balance Fresh Foam X More v3 มีน้ำหนัก 284 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 246 กรัม ในไซส์ 8US หญิง

ข้อมูลจำเพาะของ New Balance Fresh Foam X More v4
- น้ำหนัก: 295 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 237 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- น้ำหนักชั่งจริง: 336 กรัม ในไซส์ 11US ชาย
- Offset: 4 มม. (ปลายเท้าสูง 31 มม. และส้นเท้าสูง 35 มม.)
- มีรุ่นหน้าเท้าปกติ (D), รุ่นหน้าเท้ากว้าง (2E), และคาดว่าจะมีหน้าเท้ากว้างพิเศษ (4E)
- ราคา: 5,490 บาท

และหลังจากทราบประวัติและการปรับปรุงของ New Balance Fresh Foam X ซีรีส์ More กันไปแล้ว เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งานของ New Balance Fresh Foam X More v4 กันนะครับ
รีวิวความคิดเห็นหลังใช้งาน New Balance Fresh Foam X More v4

และการรีวิว New Balance Fresh Foam X More v4 ในครั้งนี้จะสามารถแบ่งประเด็นได้ดังนี้
หน้าผ้า (Upper)

หน้าผ้าของ New Balance Fresh Foam X More v4 มาพร้อมกับหน้าผ้า Engineered Mesh ชั้นเดียว ที่ให้ผิวสัมผัสที่เรียบลื่น สวมใส่สบาย และเนื้อผ้าจะมีการทอเพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่น รวมไปถึงรูระบายอากาศ ที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของบริเวณต่างๆ บนหน้าผ้า
และบริเวณกลางเท้าด้านในจะมีการเสริมโครงเนื้อผ้า Mesh พลาสติก อีกหนึ่งชั้น เพื่อให้หน้าผ้าบริเวณกลางเท้าสามารถจับกระชับเท้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้หน้าผ้าไม่มีอาการหน่วงขณะวิ่ง


และในส่วนของบริเวณลิ้นรองเท้าจะเป็นลิ้นรองเท้าที่มีการบุฟองน้ำที่หนากำลังดีและเป็นแบบลิ้นแยกจากตัวหน้าผ้า รวมทั้งขอบด้านบนของลิ้นรองเท้าจะมีการออกแบบให้โค้งเข้ากับข้อเท้าของนักวิ่ง

และในส่วนของ Heel Counter จะเป็นพลาสติกแข็งรอบบริเวณส้นเท้า และมีการบุขอบบริเวณส้นเท้าด้วยฟองน้ำที่หนากำลังดี ที่ให้ความกระชับบริเวณส้นเท้าได้ดีเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการออกแบบให้ขอบบริเวณส้นเท้าหลบบริเวณเอ็นร้อยหวาย เพื่อช่วยป้องกันอาการเสียดสีหรืออาการกัดเอ็นร้อยหวาย


นอกจากนี้ ทางแบรนด์ New Balance จะมีการติดตั้งแถบสะท้อนแสงมาให้โดยจะเป็นแถบสะท้อนบนโลโล้ของแบรนด์ New Balance และบริเวณส้นเท้า เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นขณะวิ่งในเวลาพลบค่ำ

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ ต้องอธิบายกันก่อนเลยว่าในปี 2022 รองเท้าวิ่งของทางแบรนด์ New Balance ถือได้ว่าออกแบบหน้าผ้ามาได้ดีเป็นอย่างมาก หน้าผ้ามีความกระชับและจับเท้าได้ดีมาก รวมทั้งสวมใส่สบายเป็นอย่างมาก หน้าผ้าสามารถกลืนไปกับเท้า ทำให้วิ่งเพลินๆ หน้าผ้าติดเท้าจนลืมไปเลยว่ามีหน้าผ้าอยู่
ซึ่งนักวิ่งที่กำลังมองหารองเท้าวิ่งที่มีหน้าผ้าดีๆ และเป็นมาตรฐานที่ดีในรองเท้าวิ่งถนน รองเท้าวิ่งของแบรนด์ New Balance ในปี 2022 ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งที่มีหน้าผ้าที่ดีที่สุดในตลาด ณ เวลานี้ เลยก็ว่าได้

และหน้าผ้าของ New Balance Fresh Foam X More v4 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังและยังคงมาตรฐานของแบรนด์ New Balance โดยหน้าผ้าให้ความกระชับและจับเท้าได้ดีเยี่ยม ไม่มีอาการหน่วง ไม่มีอาการส้นรูด และเนื้อผ้าบริเวณปลายเท้ามีความยืดหยุ่น ทำให้สวมใส่สบาย ไม่มีอาการบีบหรือรัดใดๆ และไม่มีอาการหน้าผ้ากัดเท้าหรือ Blister รวมทั้งหน้าผ้ายังสามารถระบายอากาศและน้ำได้ดี

ในส่วนของการเลือกไซส์ ทางเราเลือกตรงไซส์ คือ 11US โดยความยาวรองเท้าจะเท่ากับเบอร์ 11US ของแบรนด์อื่นๆ เช่น แบรนด์ Reebok และ Adidas
ซึ่งในส่วนของความกว้างหน้าเท้าของ New Balance Fresh Foam X More v4 จะเป็นความกว้างของหน้าเท้าปกติ (Neutral) โดยนักวิ่งหน้าเท้ากว้าง (Wide Feet) สามารถรอรุ่นหน้าเท้ากว้าง (2E) ได้ และคาดว่าจะมีถึงหน้าเท้ากว้างพิเศษ (4E)

พื้นชั้นกลาง (Midsole)

ในส่วนพื้นชั้นกลางของ New Balance Fresh Foam X More v4 มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Fresh Foam X ที่มีการปรับแต่งสูตรโฟมขึ้นมาใหม่ โดยเป็นสูตรโฟม Fresh Foam X ที่มีความนุ่มที่สุด ณ เวลานี้ ของแบรนด์ New Balance ซึ่งทางเราคาดว่าเป็นวัสดุ EVA ผสม TPU (EVA/TPU blend)
ในด้านความนุ่มที่วัดได้จากบริเวณผิวด้านข้างของพื้นชั้นกลาง มีดังนี้
รุ่น | ค่าความนุ่ม (Durometer Shore C: HC) | ระดับความนุ่ม |
New Balance Fresh Foam X More v4 | 35 – 40 | นุ่ม |
หมายเหตุ:
- วิธีการอ่านค่า Durometer Shore C คือ ยิ่งตัวเลขน้อย พื้นโฟมจะยิ่งนุ่ม และตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเฟิร์ม
- ระดับความนุ่มแบ่งเป็น นุ่มมาก (30-35 HC) ➞ นุ่ม (35-40 HC) ➞ นุ่มน้อย (40-50 HC)
- ระดับความเฟิร์มแบ่งเป็น เฟิร์ม (50-60 HC) ➞ เฟิร์มมาก (60-70 HC)

และพื้นชั้นกลางเฉพาะเนื้อโฟมจะมีความสูงอยู่ที่บริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 31 มม. และส้นเท้าสูง 35 มม. (Drop 4 มม.)
และในส่วนความสูงของพื้นชั้นกลางเมื่อวัดตามกฎของ World Athletic (รวมดอกยางและแผ่นรองรองเท้า) จะมีความสูงบริเวณปลายเท้า 35 มม. และส้นเท้าสูง 39 มม. (Drop: 4 มม.)
และความกว้างฐานของรองเท้าบริเวณปลายเท้าจะมีความกว้างอยู่ที่ 12.7 ซม. และบริเวณส้นเท้ากว้าง 10.9 ซม. ในไซส์ 11US ชาย

ในด้านการออกแบบพื้นชั้นกลางจะมีการออกแบบเป็นรูปทรงโวโรนอย (Voronoi Patterns) ซึ่งเป็นรูปทรงที่สามารถพบเห็นได้ในสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ เช่น ลวดลายของยีราฟ, กระดองเต่า, ใบไม้, และปีกของแมลง โดยทางแบรนด์ New Balance อธิบายว่า “รูปทรงโวโรนอยจะมีความยืดหยุ่นที่มากกว่ารูปทรงหกเหลี่ยม ซึ่งช่วยให้พื้นชั้นกลางเข้ารูปกับลักษณะการลงเท้าของนักวิ่งได้ดียิ่งขึ้น”

และพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้าจะมีการขึ้นรูปเป็นร่อง เพื่อให้พื้นโฟมสามารถยุบตัวและมีความนุ่มที่มากขึ้น ทำให้สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น

และผิวของบริเวณส้นเท้าด้านนอกจะมีการฉลุด้วยเลเซอร์ ซึ่งจะให้พื้นชั้นกลางบริเวณส้นเท้าด้านนอกมีความนุ่มและสามารถยุบตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับลักษณะการลงเท้าตามธรรมชาติของนักวิ่ง

และในส่วนของพื้นชั้นกลางบริเวณส้นเท้าจะมีการออกแบบขึ้นรูปให้เป็นรูปทรงเว้าขึ้น (หรือ Camber) ตั้งแต่บริเวณกลางเท้าไปจนถึงส้นเท้า ซึ่งจะทำงานคล้ายกับเทคโนโลยี Energy Arc ในรองเท้าวิ่ง New Balance ตระกูล FuelCell ที่เมื่อลงเท้า พื้นโฟมบริเวณส้นเท้าจะยุบตัวและเด้งคืนตัวกลับมา
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ New Balance จะมีการเสริมโฟมบริเวณอุ้งเท้าด้านในให้มากกว่าบริเวณข้างเท้าด้านนอก เพื่อช่วยในการค้ำยันและควบคุมการลงเท้า ไม่ให้เท้าล้มเข้าด้านในมากจนเกินไป

ในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (Insole) จะมาพร้อมกับแผ่นรองวัสดุ Open Cell PU คล้ายกับแผ่นรองจากแบรนด์ OrthoLite ที่มีความหนาอยู่ที่ 4 มม. ที่ให้ความนุ่มและช่วยดูดซับความชื้น

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ พื้นชั้นกลางของ New Balance Fresh Foam X More v4 ให้ความรู้สึกที่นุ่มและนวล ซับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม วิ่งแล้วไม่รู้สึกว่ามีแรงกระแทกมากระทำต่อเท้าหรือหัวเข่า และองศา Rocker ที่มีความลื่นไหล วิ่งสนุก ทำให้สามารถวิ่งไปได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อยล้า
และพื้นชั้นกลางยังให้ความรู้สึกที่เด้งคืนตัวตลอดระยะทาง ไม่ได้รู้สึกวิ่งแล้วจมหรือแรงหาย โดยจะให้ความรู้สึกนุ่มและเด้งที่คล้ายกับพื้นชั้นกลางของรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกลอย่าง Hoka One One Evo Speedgoat เป็นอย่างมาก

ทำให้ New Balance Fresh Foam X More v4 เหมาะเป็นอย่างมากกับการนำไปใช้ในการฝึกซ้อมที่มีความเร็วเพซที่ไม่สูงมาก เช่น การฝึกซ้อมวิ่งระยะไกล (Long Run) และซ้อมวิ่งในวันพัก (Recovery Run) รวมไปถึงสามารถใช้ในฝึกซ้อมวิ่งประจำวัน (Daily Run) ได้เป็นอย่างดี
ในด้านความเสถียรและมั่นคง New Balance Fresh Foam X More v4 มีความเสถียรและมั่งคงเป็นอย่างมาก และนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators) สามารถใช้งานรองเท้าวิ่งคู่นี้ได้โดยไม่รู้สึกว่ามีอาการเท้าล้มเข้าด้านใน

ดอกยาง (Outsole)

New Balance Fresh Foam X More v4 มาพร้อมกับดอกยาง NDURANCE ซึ่งทางแบรนด์ New Balance จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ ที่ต้องการให้รองเท้าสามารถตอบสนองและส่งแรงได้ดี รวมไปถึงสามารถรองรับแรงกระแทกได้ ทำให้ดอกยางที่ใช้จะไม่ได้มีความแข็งจนไม่มี Energy Return แต่จะเป็นดอกยางที่มีเนื้อคล้ายกับเนื้อยางที่นุ่มและหนึบ โดยที่ยังคงมีความทนทานในการใช้งาน
และทางแบรนด์ New Balance จะมีการเก็บข้อมูลลักษณะการลงเท้าของนักวิ่ง และนำมาออกแบบการวางตำแหน่งดอกยางในรองเท้าวิ่งคู่นี้ เพื่อให้การลงเท้าของนักวิ่งเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ในด้านประสิทธิภาพของการยึดเกาะพื้นของเนื้อดอกยาง สามารถแบ่งได้ดังนี้
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง ดอกยางของ New Balance Fresh Foam X More v4 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 45 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่แห้งอยู่ 35 องศา)
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวที่เปียกน้ำ ดอกยางของ New Balance Fresh Foam X More v4 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 23 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนนอยู่ 20 องศา)

โดยค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนน คือ ค่าเฉลี่ยที่รองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่สามารถยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่ถูกออกแบบมาให้กับรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20 องศา
ซึ่งค่าการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของดอกยางทั้งในรองเท้าวิ่งถนนและวิ่งเทรล ที่ทางเราทดสอบแล้วพบว่า “ให้ความรู้สึกที่มั่นคงมาก ไม่มีอาการลื่นหรือไถลบนเส้นทางที่เปียกน้ำ จะมีค่าอยู่ที่ 30 องศาขึ้นไป”
และดอกยางของ New Balance Fresh Foam X More v4 ที่ยึดเกาะอยู่ที่ 23 องศา ก็ถือได้ว่ายึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้ตามมาตรฐานรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่
โดยรวม ดอกยางของ New Balance Fresh Foam X More v4 เป็นดอกยางที่ใช้งานได้ดี สามารถยึดเกาะพื้นผิวแห้งได้ดีมาก การลงเท้าและยันตัวออกไปไม่มีลื่น และในส่วนของการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำก็ถือได้ว่าทำออกมาได้ในเกณฑ์มาตรฐานรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่ รวมทั้งดอกยางยังมีความทนทานในการใช้งานในระดับมาตรฐาน

สรุปโดยรวมและการใช้งาน

New Balance Fresh Foam X More v4 เป็นรองเท้าวิ่งพรีเมี่ยมหนานุ่มสำหรับซ้อมประจำวัน (Maximalist Daily Trainer) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral) ที่ทางเราชื่นชอบและประทับใจเป็นอย่างมากในปี 2022 นี้ โดยถือเป็นรองเท้าวิ่งที่สามารถนำไปใช้งานได้กับทั้งนักวิ่งมือใหม่และมืออาชีพ
โดยเป็นรองเท้าวิ่งที่มีหน้าผ้าที่สวมใส่สบาย มีความกระชับและให้ความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับเท้า ซึ่งถือเป็นหน้าผ้าตัวอย่างที่ควรจะเป็นมาตรฐานในรองเท้าวิ่งถนนในปัจจุบัน
และในส่วนของพื้นชั้นกลาง มีความนุ่มนวล รองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม และองศาพื้นชั้นกลางมีความลื่นไหล ประกอบกับพื้นชั้นกลางที่ให้ความรู้สึกที่เด้งคืนตัว ไม่ได้รู้สึกวิ่งแล้วจมหรือแรงหาย ทำให้สามารถวิ่งไปได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อยและล้า รวมทั้งดอกยางมีความทนทานและสามารถใช้งานได้ดี

นอกจากนี้ รองเท้าวิ่งคู่นี้ยังมีความเสถียรและมั่งคง ซึ่งนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators) ยังสามารถใช้งานรองเท้าวิ่งคู่นี้ได้โดยไม่มีอาการเท้าล้ม
ซึ่งสำหรับนักวิ่งมือใหม่สามารถนำรองเท้าวิ่ง New Balance Fresh Foam X More v4 ไปใช้ฝึกซ้อมวิ่งประจำวันไปจนถึงนำไปใช้แข่งขันในระยะไกล เช่น ระยะฮาล์ฟมาราธอนถึงระยะมาราธอน โดยเฉพาะกับนักวิ่งมือใหม่ที่ไม่ได้มีแผนการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง แต่ต้องการลงแข่งขันในระยะฮาล์ฟมาราธอนหรือระยะมาราธอนเป็นครั้งแรก โดยรองเท้าวิ่งคู่นี้จะสามารถพาเหล่านักวิ่งมือใหม่จบงานแข่งเหล่านี้ได้อย่างสบายๆ

ในด้านของนักวิ่งมืออาชีพสามารถนำไปใช้ซ้อมวิ่งในวันพัก (Recovery Run) อย่างเช่น ในวันหลังจากฝึกซ้อมทำความเร็วแบบ Interval แล้วกล้ามเนื้อขามีอาการล้าเป็นอย่างมาก และวันต่อมาต้องการออกวิ่งช้าๆ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดนำเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงและช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น โดยที่รองเท้าวิ่งต้องไม่ทำให้กล้ามเนื้อขามีอาการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
ซึ่งรองเท้าวิ่ง New Balance Fresh Foam X More v4 สามารถเข้ามาตอบโจทย์ในการวิ่งในวันพักได้อย่างดีเยี่ยม ที่ทำให้ในวันต่อมากล้ามเนื้อขามีความสดชื่น ไม่มีอาการเมื่อยล้าและไม่มีอาการบาดเจ็บเพิ่มเติม ทำให้สามารถฝึกซ้อมวิ่งได้ตามแผนที่วางไว้
รวมไปถึงการฝึกซ้อมวิ่งระยะไกล (Long Run) ที่สามารถวิ่งได้อย่างลื่นไหลไปเรื่อยๆ ตลอดระยะทางการฝึกซ้อม

แต่การนำรองเท้าวิ่ง New Balance Fresh Foam X More v4 ไปใช้ฝึกซ้อมประจำวันในวันที่ขาไม่มีอาการล้า หรือการฝึกซ้อมประจำวันที่มีความเร็ว ซึ่งแน่นอนว่ารองเท้าวิ่งคู่นี้จะตอบสนองได้ไม่ทันใจเหมือนกับรองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมประจำวันพื้นบางปกติ
ฉะนั้น โดยส่วนตัวของทางเราที่ใช้งานรองเท้าวิ่งเหล่านี้ เพื่อจุดประสงค์ในการฝึกซ้อมเพื่อแข่งขัน จะมีการหมุนเวียนรองเท้าวิ่งทั้งรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันพื้นบางปกติ สลับกับรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันพื้นหนา โดยตัวอย่างรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมประจำวันที่ทางเราใช้ฝึกซ้อมจริง 2 คู่หลัก จะมีดังนี้
- New Balance FuelCell Rebel v3 สำหรับฝึกซ้อมประจำวันในวันที่ขาไม่มีอาการล้า และต้องการซ้อมประจำวันที่มีความเร็วในเพซ 3:50 – 4:00 นาทีต่อกม.
- New Balance Fresh Foam X More v4 สำหรับฝึกซ้อมประจำวันในวันที่ขาล้า เช่น หลังจากการฝึกซ้อมแบบ Interval และ Tempo เพื่อช่วยในการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือด หรือใช้ซ้อมวิ่งระยะไกล (Long Run) โดยจะมีความเร็วเพซประมาณ 4:00 – 4:30 นาทีต่อกม.

โดยรวม New Balance Fresh Foam X More v4 ถือได้ว่าทำหน้าที่ในฐานะของรองเท้าวิ่งหนานุ่มสำหรับซ้อมประจำวัน (Maximalist Daily Trainer) และซ้อมวิ่งระยะไกลได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสำหรับนักวิ่งมือใหม่สามารถเป็นรองเท้าวิ่งคู่แรกและรองเท้าวิ่งเริ่มต้นที่ไม่ผิดหวัง และสำหรับนักวิ่งอาชีพ รองเท้าวิ่งหนานุ่ม หรือรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Maximalist ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่ควรมีไว้หมุนเวียนอย่างเลี่ยงไม่ได้

และ New Balance Fresh Foam X More v4 มีวางจำหน่ายแล้วที่ Supersports ทั้งสีของผู้ชายและผู้หญิง ในราคา 5,490 บาท ท่านใดที่สนใจสามารถเข้าไปเลือกชมแบบออนไลน์ได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ
และในบทความรีวิว New Balance Fresh Foam X More v4 นี้ ต้องขอขอบคุณทาง New Balance Thailand ที่ส่งรองเท้าคู่นี้และชุดเสื้อผ้า มาให้ทางเราทดสอบนะครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles