ประวัติและความหมายของตัวเลขในชื่อรุ่นของแบรนด์ New Balance

Related Articles

วันนี้เราจะพานักวิ่งทุกท่านไปทำความรู้จักกับความหมายของรหัสตัวเลขบนชื่อรุ่นรองเท้าวิ่งของแบรนด์ New Balance ที่ไม่ว่าจะเป็น 860, 880, 890, 1080, 1400, หรือ 1500 ซึ่งตัวเลขแต่ละหลักล้วนมีความหมายและสื่อถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน ฉะนั้นตัวเลขแต่ละหลักจะมีความหมายอะไรและทำไมถึงต้องเป็นตัวเลข? เชิญติดตามได้เลยครับ

เหตุผลและที่มาของการใช้ชื่อรุ่นที่เป็นตัวเลข

การใช้ชื่อรุ่นที่เป็นตัวเลขครั้งแรกของแบรนด์ New Balance ต้องย้อนกลับไปในช่วงยุค 1970 หลังจาก Jim Davis เข้าซื้อกิจการแบรนด์ New Balance ต่อจากรุ่นลูกของผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Eleanor Hall และสามีของเธอ Paul Kidd ไปในปี 1972

(ภาพซ้าย) Paul Kidd (คนกลาง) และ (ภาพขวา) Jim Davis

ซึ่ง ณ ขณะเวลานั้น แบรนด์ New Balance ยังเป็นบริษัททำรองเท้าวิ่งขนาดเล็ก ที่มีพนักงานประจำในการผลิตรองเท้าเพียง 6 คนเท่านั้น ซึ่งสามารถผลิตรองเท้าวิ่งต่อวันได้เพียง 20 – 30 คู่ นอกจากนี้แบรนด์ New Balance ยังไม่มีตราสินค้ารูปตัว N อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันอีกด้วย

แบรนด์ New Balance ในช่วงปี 1960 กับ Trackster รองเท้าวิ่งถนนคู่แรกที่มีความกว้างของขนาดหน้าเท้าให้เลือก และแบรนด์ New Balance ยังเป็นบริษัททำรองเท้าวิ่งขนาดเล็ก ที่ยังไม่มีตราสินค้ารูปตัว N อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

หลังจากการเข้าซื้อกิจการโดย Jim Davis เขาก็ได้มีแผนการขยายกิจการแบรนด์ New Balance ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะของแบรนด์รองเท้าวิ่งคุณภาพดี ที่มีการให้บริการที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามด้วยความที่แบรนด์ New Balance ณ เวลานั้นยังไม่มีแม้กระทั้งตราสินค้าให้ผู้คนจดจำ ทำให้ Jim Davis ได้ตัดสินใจโทรไปปรึกษากับนักออกแบบโลโก้ชื่อดังอย่าง Terry Heckler

Terry Heckler ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักออกแบบโลโก้และที่ปรึกษาทางธรุกิจที่คอยให้คำแนะนำและชี้แนะโอกาสทางธรุกิจให้กับแบรนด์ต่าง ๆ โดยหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขาคือการออกแบบโลโก้ที่ไม่ว่าบุคคลใดในโลกก็ต้องรู้จักอย่าง “รูปนางเงือกบนตราแบรนด์ Starbucks” ในปี 1971 นั่นเอง

Terry Heckler ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักออกแบบโลโก้และที่ปรึกษาทางธรุกิจ โดยหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขาคือการออกแบบโลโก้ “รูปนางเงือกบนตราแบรนด์ Starbucks” ในปี 1971

Terry Heckler กล่าวว่า “ณ เวลานั้น ผมได้รับสายจาก Jim Davis ซึ่งเขากระตือรือร้นที่จะบอกผมเป็นอย่างมากว่า เขาพึ่งเข้าซื้อกิจการแบรนด์รองเท้าวิ่งมา และเขาถามว่าผมว่า คุณคิดเห็นอย่างไรกับชื่อ New Balance?”

“ผมตอบเขาไปว่า คุณควรใช้ชื่อนี้ต่อไปนะ มันเป็นชื่อที่แตกต่างและมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในตัวของมันเอง”

“Jim Davis เขาตอบผมกลับมาว่า ผมชอบชื่อแบรนด์ New Balance เป็นอย่างมากและคุณเป็นเพียงคนเดียวที่บอกกับผมว่าให้ใช้ชื่อนี้ต่อไป ฉะนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะว่าจ้างคุณเข้ามาร่วมสร้างแบรนด์ New Balance ด้วยกัน”

ในปี 2016 Terry Heckler กลับมาบอกเล่าเรื่องราวในอดีตและจุดเริ่มต้นของโลโก้รูปตัว N อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ New Balance

รองเท้าวิ่งคู่แรกที่พวกเขาสองคนร่วมกันออกแบบถูกวาดลวดลาย 2 ขีดบริเวณปลายเท้าเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้ผู้คนรู้ว่านี้คือรองเท้าวิ่งของแบรนด์ New Balance ซึ่งผู้คน ณ เวลานั้นล้วนต่างบอกว่า “มันดูแย่มาก” แต่พวกเขาสองคนกลับคิดว่า “มันดูดีมาก” และ Terry Heckler ยังเสนอให้ใช้โลโก้รูปตัว N ขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างของรองเท้าขึ้นเป็นครั้งแรก

(ซ้าย) ลวดลาย 2 ขีดบริเวณปลายเท้า ก่อนที่ในภายหลังจะถูกปรับเปลี่ยนออกไป และ (ขวา) โลโก้รูปตัว N ขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างของรองเท้า

นอกจากนี้ สิ่งที่ Terry Heckler เสนอแก่ Jim Davis ในการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์อีกอย่าง นั้นก็คือ “การใช้ตัวเลขแทนชื่อรุ่น”

โดย Terry Heckler กล่าวกับ Jim Davis ว่า “เลิกใช้ชื่อรุ่นกันเถอะ คุณคงไม่อยากให้ชื่อรุ่นมาทำให้ผู้คนสับสนกับชื่อแบรนด์ใช่ไหม? ผมเข้าใจว่าทุกคนต้องการชื่อรุ่นรองเท้าวิ่งเท่ ๆ แต่สิ่งที่คุณต้องการคือการใช้ตัวเลขแทนชื่อรุ่น เพื่อให้ผู้คนเรียกรองเท้าวิ่งเหล่านี้ว่า รองเท้าวิ่งแบรนด์ New Balance”

รองเท้าวิ่งรุ่นแรกที่มาพร้อมกับแนวคิดนี้ถูกเปิดตัวและวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1976 ภายใต้ชื่อว่า “New Balance 320” ซึ่งชื่อ 320 เป็นเพียงการตั้งชื่อตามราคาที่วางจำหน่าย ณ ขณะเวลานั้น คือ $32

New Balance 320

โดยรุ่น 320 ทางแบรนด์ New Balance ได้เลือกใช้คำโฆษณาสุดคมคายที่ว่า “When the going gets tough, the tough get going.” หรือ “เมื่ออุปสรรคมีความยากลำบากขึ้น คุณก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามเช่นกัน”

ทางแบรนด์ New Balance ได้เลือกใช้คำโฆษณาสุดคมคายที่ว่า “เมื่ออุปสรรคมีความยากลำบากขึ้น คุณก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามเช่นกัน”

นอกจากนี้ New Balance 320 ไม่เพียงแต่เป็นรุ่นแรกที่นำแนวคิดการตั้งชื่อด้วยตัวเลขมาใช้ แต่ยังเป็นรุ่นสร้างชื่อ ที่ทำให้แบรนด์ New Balance เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรุ่น 320 ถูกยกย่องจากนิตยสาร Runners World ให้เป็นรองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดอันดับที่หนึ่งในยุคนั้น ซึ่งเหมาะสำหรับนักวิ่งมือใหม่ไปจนถึงนักวิ่งระดับโอลิมปิคกันเลยทีเดียว

ซึ่งนี้ไม่ใช่คำกล่าวอ้างที่เกินจริงแต่อย่างใด เมื่อนักวิ่งชายชาวอเมริกัน Tom Fleming สวมใส่รองเท้าวิ่ง New Balance 320 ตัวต้นแบบก่อนที่จะวางจำหน่าย ในการคว้าแชมป์รายการแข่ง New York Marathon ในปี 1975 นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ 320 โดดเด่นในยุคนั้นเลยก็คือ การที่สามารถเลือกความกว้างของขนาดหน้าเท้าได้และมีรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับนักวิ่งหญิงโดยเฉพาะอีกด้วย

รุ่น 320 ถูกยกย่องจากนิตยสาร Runners World ให้เป็นรองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดอันดับที่หนึ่งในยุคนั้น

หลังจากความสำเร็จของ New Balance 320 ทางแบรนด์ New Balance ก็ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งรหัสต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี เช่น ซีรีส์ 400, ซีรีส์ 600, และซีรีส์ 900 โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่นในแต่ละปีจะหมายถึง “ระดับความพิถีพิถันในการผลิตและเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาที่สูงขึ้นตามตัวเลข”

ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่นในแต่ละปีจะหมายถึง “ระดับความพิถีพิถันในการผลิตและเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาที่สูงขึ้นตามตัวเลข”

จนกระทั่งในช่วงปี 2010 แบรนด์ New Balance ได้เริ่มทำการจัดระบบตัวเลขใหม่ให้มีความหมายที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากรุ่นแรกอย่าง 1080, 880 และ 860 และต้องใช้เวลากว่า 5 ปี ในปี 2015 จึงจะสามารถปรับรหัสตัวเลขใหม่ให้มีความเข้าที่และสื่อถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งานของรองเท้าวิ่งแต่ละรุ่นได้สำเร็จ

ในช่วงปี 2010 แบรนด์ New Balance ได้เริ่มทำการจัดระบบตัวเลขใหม่

ความหมายของตัวเลขในชื่อรุ่นของแบรนด์ New Balance

อ้างอิงตามระบบตัวเลขใหม่ที่ถูกทางแบรนด์ New Balance จัดขึ้นในปี 2015 โดยตัวเลขในชื่อจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ตัวเลขด้านหน้าและตัวเลขสองหลักด้านหลัง ซึ่งจะมีความหมายดังต่อไปนี้

1. ตัวเลขด้านหน้า

ตัวเลขด้านหน้าให้ความหมายถึงระดับความพรีเมี่ยมของรองเท้าวิ่ง ซึ่งยังคงยึดหลักแบบเดียวกับแนวคิดในอดีตแบบดั้งเดิมที่ว่า “ตัวเลขยิ่งสูง ระดับของเทคโนโลยีและความพรีเมี่ยมก็จะเพิ่มตาม”

โดยในปัจจุบันทางแบรนด์ New  Balance จะจัดให้ระดับสูงสุดคือเลข 10 ซึ่งหมายถึงรองเท้าวิ่งรุ่นท็อปสุดหรือดีที่สุดในตระกูลรองเท้าวิ่งสำหรับใส่ซ้อม และตัวเลขที่รองลงมา เช่น เลข 8 จะหมายถึงรองเท้าวิ่งรุ่นพื้นฐาน

ตัวอย่างเช่น

  • รุ่น 860 ➝ เลข 8 หมายถึง รุ่นพื้นฐาน
  • รุ่น 880 ➝ เลข 8 หมายถึง รุ่นพื้นฐาน
  • รุ่น 890 ➝ เลข 8 หมายถึง รุ่นพื้นฐาน
  • รุ่น 1080 ➝ เลข 10 หมายถึง รุ่นท็อปหรือรุ่นที่ดีที่สุด
ตัวเลขด้านหน้าให้ความหมายถึงระดับความพรีเมี่ยมของรองเท้าวิ่ง

ความรู้เพิ่มเติม ในอดีตแบรนด์ New Balance เคยมีการใช้ตัวเลข 12 เช่นรุ่น 1260 แต่ไม่ได้มีความหมายว่ารุ่น 1260 ดีกว่ารุ่น 1080 แต่เป็นเพียงการแยกสายการผลิตออกไปของรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไประดับพรีเมี่ยมสำหรับนักวิ่งเท้าแบนเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกยุติสายการผลิตไปแล้ว

New Balance 1260 v7 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไประดับพรีเมี่ยมสำหรับนักวิ่งเท้าแบน ซึ่งในปัจจุบันถูกยุติสายการผลิตไป

ในส่วนรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันจะใช้รหัส 14 และ 15 โดยทั้งคู่มีระดับความพรีเมี่ยมที่เท่ากัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่เลข 14 จะหมายถึงรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าปกติ และ เลข 15 จะหมายถึงรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าแบน ซึ่งตัวเลขที่สูงกว่าอย่าง 15 จะมีราคาวางจำหน่ายที่สูงกว่าในรุ่นเลข 14 เนื่องมาจากมีการเสริมโฟมบริเวณอุ้งเท้า (หรือ Medial Post) สำหรับนักวิ่งเท้าแบนเพิ่มขึ้นมานั่นเอง

ตัวอย่างเช่น

  • รุ่น 1400 ➝ เลข 14 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 1500 ➝ เลข 15 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าแบน
รุ่น 1400 และ 1500

ความรู้เพิ่มเติม ในอดีตแบรนด์ New Balance ยังเคยได้ใช้เลข 16 ในช่วงปี 2012 ถึง 2015 สำหรับรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันที่ดีที่สุดของแบรนด์อย่างรุ่น 1600 แต่ในปี 2016 ทางแบรนด์ New Balance ได้ตัดสินใจยุติสายการผลิตไป หลังจากนั้นจึงได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันที่ดีที่สุดของแบรนด์ตัวใหม่อย่าง New Balance Hanzo S เข้ามาแทนที่

New Balance RC1600 เป็นรองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันที่ดีที่สุดของแบรนด์ ซึ่งทางแบรนด์ New Balance ได้ตัดสินใจยุติสายการผลิตไปในปี 2016

2. ตัวเลขสองหลักด้านหลัง

ตัวเลขสองหลักด้านหลังให้ความหมายถึงประเภทรองเท้าวิ่ง โดยในอดีตสามารถแบ่งตัวเลขได้เป็น 7 แบบดังต่อไปนี้

  • 40 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators) ที่ต้องการความเสถียรและมั่นคงมากเป็นพิเศษ จึงมีการเสริมบริเวณอุ้งเท้าที่มากเป็นพิเศษ
  • 50 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับใส่ในฟิตเนส โดยจะโดดเด่นเรื่องรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัย
  • 60 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators)
  • 70 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าแบน (Overpronators)
  • 80 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot)
  • 90 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot)
  • 00 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)
ตัวเลขสองหลักด้านหลังให้ความหมายถึงประเภทรองเท้าวิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันแบรนด์ New Balance ใช้ตัวเลขอยู่เพียง 4 แบบหลักคือ

  • 80รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot)
  • 60รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป (Daily Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าแบน  (Overpronators)
  • 90รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว (Lightweight Trainers) สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ (Neutral Foot)
  • 00 รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)

ตัวอย่างเช่น

  • รุ่น 880 ➝ เลข 80 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 860 ➝ เลข 60 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป สำหรับนักวิ่งเท้าแบน
  • รุ่น 890 ➝ เลข 90 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อมทำความเร็ว สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 1400 และ 1500 ➝ เลข 00 หมายถึง รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน (Racing Shoes)

เมื่อนำทั้ง 2 ส่วนมารวมกันจะสามารถอ่านได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  • รุ่น 880 ➝ รองเท้าวิ่งรุ่นพื้นฐานสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 860 ➝ รองเท้าวิ่งรุ่นพื้นฐานสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป สำหรับนักวิ่งเท้าแบน
  • รุ่น 890 ➝ รองเท้าวิ่งรุ่นพื้นฐานสำหรับซ้อมทำความเร็ว สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 1080 ➝ รองเท้าวิ่งรุ่นท็อปสำหรับซ้อมวิ่งทั่วไป สำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 1400 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าปกติ
  • รุ่น 1500 ➝ รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเท้าแบน

นอกจากนี้ รองเท้าวิ่งแต่ละรุ่นจะมีการปรับปรุงใหม่ขึ้นในแต่ละปี ฉะนั้นทางแบรนด์ New Balance จึงจะใช้คำว่า v หรือ version ต่อท้ายชื่อรุ่น เพื่อเป็นการบ่งบอกว่ารองเท้าวิ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ใหม่กว่า เช่น 1080v11, 880v11, 860v11, 1400v6 หรือ 1500v6

เสริมเพิ่มเติม

  • New Balance FuelCell 5280 ไม่ใช่ชื่อรหัสตัวเลข แต่เป็นการเล่นคำกับระยะทาง 1 ไมล์ โดยระยะทาง 1 ไมล์ มีระยะทางเท่ากับ 1.6 กิโลเมตร หรือ 5,280 ฟุต ในมาตราวัดแบบอังกฤษ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ FuelCell 5280 นั่นเอง
New Balance FuelCell 5280

แบรนด์ New Balance ได้เริ่มนำการตั้งชื่อรุ่นโดยใช้คำศัพท์กลับมาในปี 2015 โดยสองรุ่นแรกที่ใช้คือ New Balance Fresh Foam Boracay และ New Balance Fresh Foam Zante ซึ่งชื่อ Boracay เป็นชื่อของหมู่โบราไกย์ (Boracay) ที่ตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ และชื่อ Zante เป็นชื่อของหมู่เกาะซาคินทอส (Zakynthos หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Zante) ที่ตั้งอยู่ในประเทศกรีซ

ในปี 2015 New Balance Fresh Foam Boracay และ New Balance Fresh Foam Zante เป็นสองรุ่นแรกที่ได้เริ่มนำการตั้งชื่อรุ่นโดยใช้คำศัพท์กลับมา

จบกันไปแล้วนะครับสำหรับ “ประวัติและความหมายของตัวเลขในชื่อรุ่นของแบรนด์ New Balance” และหากนักวิ่งท่านใดที่ยังไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของรองเท้าวิ่ง New Balance ตระกูล Fresh Foam สามารถเข้าไปอ่านประวัติได้ที่นี่เลยครับ หรือ New Balance ตระกูล FuelCell ปี 2021 มีรุ่นอะไรบ้าง และแต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้งานอะไร?

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ

สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน

More on this topic

Popular stories

Training Plan