รีวิว Reebok Nano X3 ตำนานรองเท้าเทรนนิ่ง 13 ปี แห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนส

Related Articles

วันนี้เรามารีวิวความคิดเห็นหลังสวมใส่ Reebok Nano X3 หรือรุ่นที่ 13 รองเท้าเทรนนิ่งสำหรับออกกำลังกายในยิมและ CrossFit โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นตระกูลรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ที่ได้เข้ามาปฏิวัติวงการฟิตเนสครั้งแรกของโลก ที่ทำให้การออกแบบรองเท้าเทรนนิ่งเป็นเหมือนอย่างที่เราได้รู้จักกันในปัจจุบัน โดยจะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และในรุ่นที่ 13 นี้ ถูกพัฒนาและมีเทคโนโลยีอะไรที่โดดเด่นบ้าง เชิญติดตามได้เลยครับ

รีวิว Reebok Nano X3 ตำนานรองเท้าเทรนนิ่ง 13 ปี แห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนส

ปล. ท่านใดที่ยังไม่ทราบถึง ประวัติและความเป็นมาของฟิตเนส ยิม และกีฬา CrossFit สามารถอ่านที่ได้ที่นี่เลยครับ

ประวัติรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ตำนาน 13 ปี แห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนส

ประวัติรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ตำนาน 13 ปี แห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนส

รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นในช่วงปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางแบรนด์ Reebok ได้เข้าเป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการของเกมกีฬา CrossFit ซึ่งถือเป็นเกมการแข่งขันกีฬาฟิตเนสที่มีความแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ณ ช่วงเวลานั้น

โดยเกมกีฬา CrossFit ถูกเรียกเป็นประเภทกีฬาอย่างเป็นทางการว่า “การแข่งขันกีฬาประเภทฟิตเนส” หรือ Competitive Fitness” ซึ่งเป็นการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขัน ที่ผสมผสานท่าทางการออกกำลังกายที่หลากหลาย เช่น การยกน้ำหนัก การวิ่ง การปั่นจักรยาน การไต่เชือก กรรเชียงบก และอื่นๆ อีกมากมาย

การแข่งขัน CrossFit Games ถูกเรียกเป็นประเภทกีฬาอย่างเป็นทางการว่า “การแข่งขันกีฬาประเภทฟิตเนส” หรือ “Competitive Fitness”

และในการแข่งขันแต่ละปี จะเป็นการสุ่มเลือกท่าทางในการออกกำลังกาย ทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องมีการเตรียมตัวและฝึกซ้อมความแข็งแรงที่รอบด้าน รวมไปถึงรองเท้าที่สวมใส่ต้องสามารถใช้งานได้ดีในทุกท่าทางการออกกำลังกายและทุกสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ในอดีต ตั้งแต่เกมกีฬา CrossFit เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2007 ผู้เข้าร่วมการแข่งขันมีการสวมใส่รองเท้ากีฬาที่หลากหลายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าวิ่ง รองเท้าบาสเก็ตบอล รองเท้าผ้าใบลำลอง ไปจนถึงรองเท้าแตะ ทำให้ทางแบรนด์ Reebok ได้มองเห็นถึงปัญหานี้ และต้องการที่จะช่วยเหลือเหล่าผู้ออกกำลังกายให้สามารถฝึกซ้อมและแข่งขันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

จึงเกิดเป็นแนวคิดรองเท้ากีฬาประเภทใหม่ขึ้นอย่าง “รองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์สำหรับการฝึกซ้อมที่เกี่ยวข้องกับฟิตเนส” เป็นครั้งแรกของโลก ในชื่อที่ถูกเรียกว่า Reebok Nano”

ตั้งแต่เกมกีฬา CrossFit เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2007 ผู้เข้าร่วมการแข่งขันมีการสวมใส่รองเท้ากีฬาที่หลากหลายเป็นอย่างมาก

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการปฏิวัติวงการรองเท้าฟิตเนสของแบรนด์ Reebok โดยเมื่อย้อนกลับไปในปี 1983 แบรนด์ Reebok เคยเปิดตัวหนึ่งในรองเท้าระดับตำนานอย่าง Reebok Freestyle ซึ่งเป็นรองเท้าออกกำลังกายแอโรบิคสำหรับผู้หญิงคู่แรกของโลก โดยเกิดขึ้นจากความต้องการแก้ปัญหาอาการปวดขาและเจ็บเท้าในการออกกำลังกายแอโรบิค

ซึ่ง ณ เวลานั้น เหล่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายจะไม่มีการสวมใส่รองเท้า เนื่องจาก รองเท้าผ้าใบทั่วไปไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนไหวในแนวด้านข้างได้ และการออกแบบรูปเท้าของรองเท้าก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้หญิง ซึ่งรองเท้ากีฬาจะถูกออกแบบมาในไซส์ของผู้ชายทั้งหมด

รองเท้า Reebok Freestyle ตำนานรองเท้าออกกำลังกายแอโรบิคสำหรับผู้หญิงคู่แรกของโลก

โดยการกำเนิดของรองเท้า Reebok Freestyle ก็ทำให้เหล่าผู้หญิงมีสิทธิ์ในการเลือกใช้รองเท้ากีฬา และเป็นการออกแบบไซส์รองเท้ากีฬาสำหรับผู้หญิงขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก

จนเกิดเป็นการปฏิวัติวงการรองเท้ากีฬาสำหรับผู้หญิง ที่ทำให้รองเท้า Reebok Freestyle กลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญแห่งยุคแอโร่บิคในช่วงปี 80 และสามารถทำยอดขายสูงที่สุดของแบรนด์ Reebok จนเป็นประวัติศาสตร์ที่สามารถล้มแบรนด์อันดับหนึ่งอย่าง Nike ณ เวลานั้น ลงได้

และรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano จะดำเนินตามวัตถุประสงค์เดิมของแบรนด์ Reebok คือ การช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่ออกกำลังกายให้สามารถฝึกซ้อมและแข่งขันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

วัตถุประสงค์ของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano คือ การช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่ออกกำลังกายให้สามารถฝึกซ้อมและแข่งขันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม การออกแบบรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ ที่ไม่เคยมีมาก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ทำให้ทางแบรนด์ Reebok ได้เชิญเหล่านักกีฬาผู้บุกเบิกวงการกีฬา CrossFit มาที่สำนักงานใหญ่ เพื่อทำความเข้าใจถึงลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติสำคัญในรองเท้าที่พวกเขาต้องการ

รวมทั้งรองเท้าต้นแบบจะถูกทดสอบอย่างละเอียดและเต็มที่โดยเหล่านักกีฬา CrossFit เพื่อให้แน่ใจว่ารองเท้าสามารถทนทานต่อลักษณะการออกกำลังกายที่หนักหน่วงและหลากหลาย

โดยหนึ่งในผู้ทดสอบยุคแรกเริ่มของรองเท้า Reebok Nano อย่าง Tal Short ซึ่งในปัจจุบัน เขาได้ทำงานเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส แผนกรองเท้ากีฬาฟิตเนสของแบรนด์ Reebok และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนารองเท้าตระกูล Nano มาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นไว้ว่า

Tal Short ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนารองเท้า Reebok ตระกูล Nano มาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

ณ เวลานั้น ไม่มีใครเคยคิดถึงรองเท้าลักษณะนี้มาก่อน พวกเราสวมใส่รองเท้าอะไรก็ได้ที่เรามี เรารู้เพียงแค่ว่าพื้นรองเท้ามันต้องเรียบกับพื้นก็เท่านั้น ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนว่ารองเท้าที่พวกเราเคยสวมใส่มานั้นมันแย่มากขนาดไหน จนกระทั่งเรามี Nano”

โดย ณ เวลานั้น ผมไม่คิดว่า พวกเราตระหนักด้วยซ้ำว่า รองเท้าคู่นี้จะกลายมาเป็นรองเท้ากีฬาประเภทใหม่และปฏิวัติวงการรองเท้าฟิตเนส” – Tal Short

และ Austin Malleolo นักกีฬา CrossFit ซึ่ง ณ เวลานั้น เขาทำหน้าที่เป็นโค้ชฟิตเนสให้กับแบรนด์ Reebok และมีส่วนสำคัญในการพัฒนารองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano ได้เล่าว่า “ผมเริ่มงานกับแบรนด์ Reebok ในปี 2008 ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมสวมใส่รองเท้าคลาสสิคของแบรนด์ Reebok ที่มีพื้นเรียบ โดยเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ”

Austin Malleolo นักกีฬา CrossFit ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนารองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano

ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนารองเท้า ผมเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมทุกครั้ง ในฐานะของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ท่วมท้นและยากที่จะรับมือ โดย ณ เวลานั้น ผมเป็นแค่เด็กที่เป็นโค้ช แต่ผู้คนรอบๆ ผมต่างมีวุฒิภาวะและตำแหน่งงานที่เหนือกว่าผมทั้งหมด ซึ่งพวกเขาต้องมาถามคำถามมากมายและความคิดเห็นจากผม”

โดยความทรงจำที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับรองเท้า Reebok Nano คือ การได้เห็นภาพร่างของรองเท้า Reebok Nano 1.0 ก่อนที่มันจะถูกสร้างขึ้น ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่ขนลุกทุกครั้งที่ผมคิดถึงมัน”

และผมยังจำรองเท้าคู่แรกที่ผมทดสอบได้เป็นอย่างดี โดยมันเป็นรองเท้าสีแดง และยังไม่มีแผ่นยางแข็งด้านข้างของรองเท้า ซึ่งหลังจากที่ผมนำมันไปไต่เชือกเพียงแค่ครั้งเดียว มันก็ฉีดขาดและพังในทันที ซึ่งนั่นเป็นที่มาขององค์ประกอบหลักสำคัญที่อยู่คู่กับรองเท้าตระกูล Nano มาโดยตลอด อย่างตัวป้องกันเชือกด้านข้างเท้า หรือที่เราเรียกว่า เทคโนโลยี RopePro”

รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano 1.0 ในปี 2011

และหลังจากทดสอบรองเท้าต้นแบบหลายต่อหลายรุ่น รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano 1.0 ก็ได้ปรากฏตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกในเกมการแข่งขัน Reebok CrossFit Games ในปี 2011 โดยเป็นรองเท้าที่แจกให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันสวมใส่ลงแข่ง

ซึ่งนักกีฬาที่ขึ้นโพเดียมทุกคน รวมไปถึงแชมป์ประเภทบุคคลเดี่ยวในปีนั้นอย่าง Rich Froning Jr.” ต่างก็สวมใส่รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano 1.0 ในการแข่งขัน

Rich Froning Jr. นักกีฬา CrossFit มืออาชีพชาวอเมริกัน

และการแข่งขันในครั้งนั้น Rich Froning Jr. ได้รับฉายา Fittest on Earth” หรือ “ผู้แข็งแกร่งที่สุดบนโลก” เป็นครั้งแรกของเขา ก่อนที่ต่อมา เขาจะคว้าแชมป์ต่อ รวมเป็น 4 ปีซ้อน ในปี 2011, 2012, 2013, และ 2014 ซึ่งเขาได้กลายเป็นชายคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ 4 สมัยซ้อน ในการแข่งขัน CrossFit Games

รวมทั้งต่อมาเขาได้ผันตัวมาแข่งขันในประเภททีม ในทีมแข่งที่เขาก่อตั้งขึ้นเองและมีเสียงโด่งดังที่สุดในบรรดาทีมแข่ง CrossFit ที่มีชื่อว่า “ทีม CrossFit Mayhem” และสามารถคว้าแชมป์ประเภททีมต่ออีก 6 สมัย ในปี 2015, 2016, 2018, 2019, 2021, และ 2022

โดยการแข่งขัน CrossFit Games ทั้งหมดของเขา เขาล้วนแต่สวมใส่รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ที่ถูกพัฒนาขึ้นในแต่ละปี รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในการออกแบบรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano รุ่นพิเศษในชื่อของเขาอย่าง Reebok Nano Froning”

รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano X1 Froning ซึ่งซีรีส์พิเศษ Froning จะมีออกมาในทุกๆ ปี

และหลังจากการแข่งขัน Reebok CrossFit Games ในปี 2011 ได้จบลง เหล่าผู้คนต่างตื่นเต้นและสนใจในรองเท้าเทรนนิ่งคู่นี้เป็นอย่างมาก ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน ทางแบรนด์ Reebok ได้วางจำหน่ายรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano 1.0 เป็นจำนวน 1,000 คู่ บนเว็บไซต์ ซึ่งการจำหน่ายในครั้งแรกนี้ก็หมดภายในพริบตา

และ Dan Hobson อดีตรองประธานฝ่ายนวัตกรรมของแบรนด์ Reebok ผู้ได้ทำงานในโปรเจค Nano ตั้งแต่เริ่มต้น ได้เล่าถึงการออกแบบรองเท้าคู่นี้ว่า

Dan Hobson อดีตรองประธานฝ่ายนวัตกรรมของแบรนด์ Reebok

“สิ่งที่ดึงดูดผมให้เข้ามาในการแข่งขัน CrossFit คือ เหล่าโค้ชและเพื่อนๆ ซึ่งพวกเราได้พาเหล่าเด็กๆ ที่มีความหลงไหลเข้ามา และได้พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา ซึ่งทำให้คุณไม่ได้ลงทุนเพียงแค่เฉพาะในด้านของตัวเงิน แต่คุณลงทุนในด้านของความรู้สึกด้วย”

“และหากคุณไม่สามารถสร้างรองเท้าที่ดีเยี่ยมให้กับพวกเขา เหล่าคนที่คุณรู้จักจะไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีในการฝึกซ้อมและแข่งขัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ และกดดันคุณเป็นอย่างมาก ทำให้มันเป็นเหตุผลที่คุณต้องสร้างรองเท้าที่ยอดเยี่ยม” – Dan Hobson

ซึ่งความสำเร็จรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano รุ่นแรก ไม่ได้หมายความว่า ทางแบรนด์ Reebok จะพอใจกับความสำเร็จและหยุดการพัฒนา โดยทีมออกแบบจะทำการออกแบบและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้ เพื่อนำไปพัฒนาและปรับปรุงให้รองเท้าเทรนนิ่งตระกูล Nano ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี

Reebok Nano X3 ในปี 2023

Dan Hobson กล่าวว่า “เหล่าปัญหาที่รองเท้าเทรนนิ่งลักษณะนี้ต้องแก้ไขไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่วิธีการแก้ปัญหาและเทคโนโลยีต่างๆ จะมอบเส้นทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้คุณ”

“โดยรูปลักษณ์ของรองเท้า Reebok Nano ของเราเปลี่ยนไปมาก และเราชอบที่จะลองทำในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งมันสอดคล้องไปกับแนวคิดของการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขัน อย่างการพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น จงทำให้ดีขึ้นเสมอ อย่ากลัวที่จะล้มเหลว ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ เราพยายามนำมาใช้กับรองเท้า Reebok Nano”Dan Hobson

และการเปิดตัวของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ยังทำให้สังคมกีฬา CrossFit และแนวคิดการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขันมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าที่เคยมีมา โดยมียิมเกิดใหม่เป็นจำนวนมากในหัวเมืองต่างๆ ทั่วโลก และเหล่าผู้คนเริ่มให้ความสนใจและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสังคมของการออกกำลังกายรูปแบบใหม่นี้

การเปิดตัวของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ยังทำให้สังคมกีฬา CrossFit และแนวคิดการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขันมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

โดย Austin Malleolo อธิบายว่า “รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano ได้เปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อแนวคิดการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขันเป็นอย่างมาก เพราะมันคือการทำให้เกมกีฬาประเภทนี้มีความเป็นมาตรฐานและสากล”

โดยเมื่อแบรนด์ยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ทำรองเท้าออกมา แม้ว่าในครั้งแรกมันจะถูกออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่เหล่าผู้คนก็จะมองว่า มันเป็นกีฬาที่น่าสนใจ และให้การยอมรับมันได้ง่ายขึ้น ซึ่งแบรนด์ Reebok เป็นผู้บุกเบิกมันอย่างแท้จริง และยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่างๆ” – Austin Malleolo

และหลังจากความสำเร็จของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ในปี 2011 ทำให้แนวคิดรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์สำหรับการออกกำลังกายในฟิตเนสก็มีความแพร่หลายมากขึ้น จนมีแบรนด์ต่างๆ พากันเปิดตัวรองเท้าประเภทนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก

หลังจากความสำเร็จของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ในปี 2011 แบรนด์ต่างๆ ก็พากันเปิดตัวรองเท้าประเภทนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก

ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Nike กับรองเท้าเทรนนิ่งตระกูล Metcon ที่เปิดตัวมาในปี 2015, รองเท้าเทรนนิ่งแบรนด์ NoBull ที่ก่อตั้งโดย Marcus Wilson ในปี 2015 ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานเก่าของแบรนด์ Reebok โดยรองเท้ามีรูปทรงและการออกแบบที่คล้ายคลึงกับ Reebok Nano รุ่นแรกเป็นอย่างมาก, และแบรนด์ Under Armour กับรองเท้าเทรนนิ่งตระกูล TriBase Reign ในปี 2019

ซึ่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโสคนปัจจุบันอย่าง Tal Short กล่าวว่า Reebok Nano มันคือ สัญลักษณ์ เมื่อผมไปท่องเที่ยวแล้วพบเหล่าผู้คนที่สวมใส่รองเท้าคู่นี้ ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาอยู่ในสังคมที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเหมือนกัน และคุณก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ ซึ่งรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano มันไม่ได้เป็นเพียงแค่รองเท้าอีกต่อไป แต่มันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่อยู่ควบคู่กับแนวคิดของการออกกำลังกายเพื่อการแข่งขัน”

Reebok Nano X3 ในปี 2023

“และผมพยายามอย่างหนักในการออกแบบและพัฒนา และยังให้คำมั่นสัญญาเดิมที่ว่า เราจะไม่วางจำหน่ายรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano รุ่นต่อไป จนกว่าเราจะมีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผู้ใช้” – Tal Short

การพัฒนาของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano จนถึง Nano X3 ในปี 2023

การพัฒนาของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano จนถึง Nano X3 ในปี 2023

และตั้งแต่ความสำเร็จของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano 1.0 ในปี 2011 ทางแบรนด์ Reebok ก็ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงจากคำจารณ์และความต้องการของนักกีฬาและผู้ใช้งานมาโดยตลอดในแต่ละปี

Reebok Nano 1.0 ในปี 2011

โดยรุ่นที่ 2 อย่าง Reebok Nano 2.0 ในปี 2012 ได้มีการปรับปรุงในส่วนของความกว้างของหน้าเท้าให้มีความกว้างมากขึ้น และมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางวัสดุ EVA และติดตั้งดอกยางที่เกาะพื้นได้ดียิ่ง ทำให้ในรุ่นที่ 2 นี้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และทำให้ตระกูล Nano แจ้งเกิดอย่างแท้จริง

ซึ่งในปัจจุบัน ปี 2023 ทางแบรนด์ Reebok ยังมีการนำเอา Reebok Nano 2.0 กลับมาผลิตซ้ำ เพื่อให้เหล่าสาวก Nano ได้หวนคืนความรู้สึกของวันเก่าๆ

และความกว้างของหน้าเท้าที่กว้างในรุ่นที่สอง ต่อมาได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์เด่นของตระกูล Nano ทุกรุ่น

Reebok Nano 2.0 ที่กลับมาผลิตซ้ำในปี 2023 เพื่อให้เหล่าสาวก Nano ได้หวนคืนความรู้สึกของวันเก่าๆ

และรุ่นต่อมาของตระกูล Nano ก็ได้มีการทดลองวัสดุหน้าผ้าใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความทนทานในการใช้งานให้กับหน้าผ้า เช่น การเสริมโครงยางรอบหน้าผ้า ที่ถูกเรียกว่า DuraCage ในรุ่น Nano 3.0 และ 4.0 รวมไปถึงการเสริมโครงด้วยวัสดุ Kevlar ที่ถูกใช้ในรุ่น Nano 5.0 และ 6.0

รองเท้าเทรนนิ่งตระกูล Nano มีการทดลองวัสดุหน้าผ้าใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความทนทานในการใช้งานให้กับหน้าผ้า

จนกระทั่ง ในปี 2018 ทางแบรนด์ Reebok ได้เปิดตัวเทคโนโลยีหน้าผ้าใหม่ขึ้น ที่มีชื่อว่า“Flexweave” โดยเป็นเทคนิคการทอขึ้นรูปหน้าผ้าแบบ 8 เส้นดาย ซึ่งทำให้หน้าผ้ามีความแข็งแรงและทนทานต่อการขีดข่วน โดยไม่ละทิ้งการระบายอากาศและความสบายในการสวมใส่

ซึ่งเทคโนโลยีหน้าผ้า Flexweave ถูกนำมาใช้ในรองเท้ากีฬาของแบรนด์ Reebok หลายรุ่น ทั้งในรองเท้าวิ่งและรองเท้าเทรนนิ่งจนถึงปัจจุบัน

โดยเทคโนโลยีหน้าผ้า Flexweave ถูกนำมาใช้ก่อนกับรองเท้าตระกูล Nano ในรุ่น Reebok Nano 7.0 ในปี 2017 และถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในตระกูล Nano จนถึงรุ่นปัจจุบัน

และในส่วนของ Drop ของพื้นชั้นกลางในรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นแรกไปจนถึงรุ่นที่ 10 จะมาพร้อมกับ Drop 4 มม.

รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano รุ่นที่ 7 ถึงรุ่นที่ 10

ซึ่งในปี 2021 กับ Reebok Nano X1 หรือรุ่นที่ 11 ทางแบรนด์ Reebok ได้ทำการยกเครื่องตระกูล Nano ใหม่ทั้งหมด โดยมีการปรับ Drop ของพื้นชั้นกลางให้สูงขึ้นมาอยู่ที่ 7 มม. โดย Tal Short อธิบายว่า Drop ที่สูงขึ้นจะทำให้การวิ่งและการยกน้ำหนักมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น”

Reebok Nano X1 หรือรุ่นที่ 11 ในปี 2021 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีการปรับ Drop ของพื้นชั้นกลางให้สูงขึ้นมาอยู่ที่ 7 มม.

ความรู้เพิ่มเติม

  • Drop ที่สูงไม่เพียงทำให้การวิ่งดีขึ้นเท่านั้น แต่การยกน้ำหนักยังมีประสิทธิภาพขึ้น เนื่องจากจังหวะที่ยกน้ำหนักขึ้นจากพื้น นักยกน้ำหนักต้องยกบาร์เบลในท่าสควอท ซึ่งส่งผลให้ส้นเท้ามีการยกลอยจากพื้นเสมอจากสรีระของมนุษย์
  • โดยหากไม่มีการเสริมส้นเท้าให้สูงขึ้นและมีความมั่นคง สิ่งที่ตามมาคือ กระดูกสันหลังของมนุษย์จะมีการโค้งงอมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นท่าทางในการยกที่ไม่มีประสิทธิภาพและอาจนำไปสู่อาการบาดเจ็บ ทำให้รองเท้าสำหรับการยกน้ำหนักโดยเฉพาะ จะมี Drop ที่สูงถึง 20 มม. ขึ้นไป
  • ซึ่ง Drop ที่ต่ำอย่าง Drop 0 มม. และรองเท้าวิ่งพื้นหนาที่ไม่เสถียร เป็นไปไม่ได้ที่จะมีประสิทธิภาพในการยกน้ำหนัก และมีโอกาสที่จะบาดเจ็บเพิ่มในการออกกำลังกาย ซึ่งยังมีหลายท่านที่เข้าใจผิดและเลือกใช้รองเท้าผิดประเภทให้เห็นกันอยู่เสมอ
Drop ที่สูงไม่เพียงทำให้การวิ่งดีขึ้นเท่านั้น แต่การยกน้ำหนักยังมีประสิทธิภาพขึ้น

และ Reebok Nano X1 ยังเป็นรุ่นแรกที่ทางแบรนด์ Reebok ได้นำเอาวัสดุพื้นชั้นกลางของรองเท้าวิ่งอย่าง Floatride Energy Foam มาใช้ โดยติดตั้งไว้ ณ บริเวณปลายเท้า และมีการเปลี่ยนหน้าผ้าใหม่เป็นหน้าผ้า Flexweave Knit ที่มีความยืดหยุ่นขึ้น

และรุ่นต่อมาอย่าง Reebok Nano X2 ในปี 2022 จะมีการออกแบบที่คล้ายคลึงกับในรุ่น Nano X1 แต่รุ่น Nano X2 จะมีการปรับปรุงและแก้ไขในส่วนของโครงรองเท้าบริเวณส้นเท้า (หรือที่เรียกว่า Heel Clip) ให้มีความแข็งขึ้นและรองรับบริเวณส้นเท้าได้ดียิ่งขึ้น

Reebok Nano X2 หรือรุ่นที่ 12 ในปี 2022

และในปี 2023 ทางแบรนด์ Reebok ได้ทำการเปิดตัว Reebok Nano X3 โดยเป็นการเปิดตัวที่ไวกว่ารุ่นอื่นในตระกูล Nano ที่เคยมีมาในแต่ละปี

ซึ่ง Tal Short กล่าวว่า “พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และได้เปิดตัวรองเท้า Nano X3 ก่อนกำหนด เพราะเรารู้สึกว่ารองเท้ารุ่นใหม่คู่นี้ มันดีกว่ารุ่นเดิมอย่าง Nano X2 เป็นอย่างมาก และมันก็ดีกว่ารุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด ทำให้เราตื่นเต้นที่จะให้คุณได้ทดลองกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ของเรามาก”

Reebok Nano X3 หรือรุ่นที่ 13 ในปี 2023

โดยรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano X3 ถือได้ว่าเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดอีกครั้งของตระกูล Nano ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Lift and Run chassis system” หรือ L.A.R system”

ซึ่งเป็นโครงแผ่นเพลท TPU แข็งที่อยู่ภายในรองเท้า โดยมีลักษณะเป็นรูปทรงของโดมที่วางอยู่ใต้ส้นเท้า ที่เชื่อมต่อล้อมรอบขึ้นมาบริเวณข้อเท้า เพื่อเสริมความมั่นคง และแผ่นเพลทจะวางยาวไปจนถึงบริเวณปลายเท้า เพื่อป้องกันการบิดตัวบริเวณกลางเท้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรง ณ บริเวณปลายเท้า

โดยในการออกแบบในครั้งนี้ ทีมออกแบบต้องเผชิญกับปัญหาที่ว่า การยกน้ำหนักและการวิ่งเป็นกีฬาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในการวิ่ง รองเท้าจำเป็นต้องมีความนุ่มและรองรับแรงกระแทกได้ดี แต่ในส่วนของการยกน้ำหนัก รองเท้าจำเป็นต้องมีพื้นราบมีความเสถียรมั่นคง และจะมี Drop ที่สูงถึง 20 มม. ขึ้นไป

Reebok Nano X3 มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง “Lift and Run chassis system” หรือ “L.A.R system”

Tal Short อธิบายว่า “รองเท้ายกน้ำหนักที่ดีและรองเท้าวิ่งที่ดีแทบจะอยู่คนละขั้วกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้รวมอยู่ในรองเท้าคู่เดียวได้ ซึ่งคำตอบ คือ เทคโนโลยีใหม่อย่าง Lift and Run chassis system”

“โดยจุดสำคัญในการทำงานของเทคโนโลยีนี้ คือ ณ บริเวณส้นเท้า ที่มีลักษณะเป็นรูปทรงของโดม ที่เมื่อคุณกำลังยกน้ำหนัก แผ่นเพลทที่เป็นโดมจะยุบตัวและทำหน้าที่เป็นตัวค้ำยันบริเวณส้นเท้า ซึ่งทำให้พื้นมีความเสถียรและมั่นคงเป็นอย่างมาก”

“แต่เมื่อคุณไม่ได้ยกน้ำหนัก แผ่นเพลทรูปทรงโดมจะคลายตัวและนุ่มขึ้น ทำให้สามารถรองรับแรงกระแทกขณะวิ่งได้ โดยสิ่งที่อยู่ใต้รูปทรงของโดมบริเวณส้นเท้า คือ วัสดุโฟมของรองเท้าวิ่งอย่าง Floatride Energy Foam” Tal Short

เทคโนโลยี “Lift and Run chassis system” หรือ “L.A.R system”

ซึ่งวัสดุโฟม Floatride Energy Foam ในรุ่น Reebok Nano X3 ถูกย้ายตำแหน่งมา ณ บริเวณส้นเท้า ใต้แผ่นเพลทรูปทรงโดม เพื่อจำกัดความยืดหยุ่นและความไม่เสถียรของโฟม เนื่องจากการติดตั้งไว้ที่บริเวณปลายเท้าใน 2 รุ่นก่อน ทำให้เกิดความไม่เสถียรขณะยกน้ำหนัก

และ Tal Short กล่าวเสริมถึงแนวคิดในการออกแบบรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano ว่า “บางคนอาจจะมองว่าการรวมกันระหว่างการวิ่งและการยกน้ำหนักมันดูแปลกประหลาด แต่ผมเปรียบเทียบการออกแบบของตระกูล Nano ว่าเป็นเสมือนรองเท้าที่พกไปกับกระเป๋าเดินทางขณะไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าคุณไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอะไร และไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เพราะคุณไม่เคยไปมาก่อน”

Reebok Nano X3 ในปี 2023

“แนวคิดก็คือ รองเท้าเทรนนิ่งที่เอนกประสงค์ ที่ไม่ใช่การนำไปยกน้ำหนักเพื่อสร้างสถิติ หรือการวิ่งระยะไกล แต่ Nano จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรองเท้า 2 ประเภท ที่สามารถทำผลงานออกมาได้ดีและมีประสิทธิภาพในการออกกำลังกายในยิม ซึ่งแนวคิดคลายกับเหล่านักกีฬา CrossFit ที่ไม่ใช่การเจาะลึกหรือเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง แต่พวกเขาสามารถทำผลงานออกมาได้ดีในหลายๆ ด้าน” – Tal Short

และนอกจากเทคโนโลยี L.A.R system แล้ว รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano X3 ยังมีการปรับปรุงในส่วนของหน้าผ้าให้มีความทนทานต่อการขีดข่วนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับให้หน้าผ้ามีความกระชับเท้ามากขึ้น เนื่องจากมีเสียงวิจารณ์ในรุ่น Nano X2 ว่าหน้าผ้ามีความกว้างและยืดหยุ่นจนเกินไป

Reebok Nano X3 เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดอีกครั้งของตระกูล Nano

นอกจากนี้ ทางแบรนด์ Reebok จะมีการปรับปรุงในส่วนของแผ่นยางด้านข้างเท้าอย่างเทคโนโลยี RopePro ที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ ให้มีความใหญ่ขึ้นและถูกขึ้นรูปมาพร้อมกับดอกยาง ทำให้มีความแข็งแรงขึ้นและไม่หลุดจากตัวรองเท้าเมื่อไต่ขึ้นลงเชือก และในส่วนลวดลายของดอกยางถูกออกแบบใหม่ให้พื้นผิวมีความเรียบตลอดทั้งพื้น ทำให้สามารถยึดเกาะพื้นในฟิตเนสและยิม รวมไปถึงการไต่ผนังได้ดียิ่งขึ้น

Reebok Nano X3 สีต่างๆ

ข้อมูลจำเพาะของ Reebok Nano X3

  • น้ำหนัก: 340 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 312 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
  • น้ำหนักชั่งจริง: 382 กรัม ในไซส์ 11US ชาย
  • Offset: 7 มม. (ปลายเท้าสูง 20 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม.)
  • ราคา: 5,290 บาท
Reebok Nano X3 ในปี 2023

รีวิวและความคิดเห็นหลังใช้งาน Reebok Nano X3

รีวิวและความคิดเห็นหลังใช้งาน Reebok Nano X3

และหลังจากทราบประวัติของรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok ตระกูล Nano กันไปแล้ว เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งานของ Reebok Nano X3 กันนะครับ ซึ่งจะสามารถแบ่งประเด็นได้ดังนี้

หน้าผ้า (Upper)

หน้าผ้าของ Reebok Nano X3

หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 มาพร้อมกับหน้าผ้า Flexweave ซึ่งเป็นเนื้อผ้าทอ ที่มีความแข็งและทนทานต่อการขีดข่วน และบริเวณกลางเท้าจะมีการออกแบบสกรีนเสริมยางบนหน้าผ้า รวมทั้งเสริมโครงเนื้อผ้าด้านในบริเวณกลางเท้าอีกหนึ่งชั้น เพื่อให้หน้าผ้ามีความเป็นโครงที่ช่วยในการปกป้องเท้าและเพิ่มความทนทานของหน้าผ้าขณะไต่เชือก

Reebok Nano X3 มาพร้อมกับหน้าผ้า Flexweave
บริเวณกลางเท้ามีการออกแบบสกรีนเสริมยางบนหน้าผ้า

และเนื้อผ้าภายในที่สัมผัสกับเท้าโดยตรงจะมีการบุเสริมเนื้อผ้าที่มีผิวสัมผัสที่นุ่มอีกหนึ่งชั้นตลอดทั้งหน้าผ้า เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่

เนื้อผ้าภายในที่สัมผัสกับเท้าโดยตรงจะมีการบุเสริมเนื้อผ้าที่มีผิวสัมผัสที่นุ่มอีกหนึ่งชั้นตลอดทั้งหน้าผ้า

และในส่วนของบริเวณลิ้นรองเท้า จะมีการบุฟองน้ำภายในที่หนานุ่ม และลิ้นรองเท้าจะเป็นแบบแยกจากตัวหน้าผ้า

ลิ้นรองเท้าภายในมีการบุฟองน้ำที่หนานุ่ม

และในส่วนของ Heel Counter จะเป็นโครงแผ่นเพลท TPU แข็ง หรือเทคโนโลยี Lift and Run chassis system” ที่โอบขึ้นมาล้อมรอบและประคองบริเวณช่วงส้นเท้า และในส่วนของขอบบริเวณส้นเท้าจะมีการบุฟองน้ำภายในที่หนานุ่ม และมีการออกแบบให้เข้ารูปและหลบบริเวณเอ็นร้อยหวาย เพื่อช่วยป้องกันอาการเสียดสีหรืออาการกัดเอ็นร้อยหวาย

Heel Counter เป็นโครงแผ่นเพลท TPU แข็ง หรือเทคโนโลยี “Lift and Run chassis system”
ขอบบริเวณส้นเท้ามีการบุฟองน้ำภายในที่หนานุ่ม และมีการออกแบบให้เข้ารูปและหลบบริเวณเอ็นร้อยหวาย

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 เป็นหน้าผ้าที่มีความกระชับ แนบเข้ารูปกับเท้า และไม่มีอาการยืดหรือย้วยขณะเคลื่อนไหว ทำให้รองเท้าอยู่ติดกับเท้าเสมอ

ซึ่งถือเป็นจุดเด่นในกรณีที่ต้องการขยับการวางเท้าขณะยกน้ำหนัก ที่ผู้สวมใส่สามารถเคลื่อนไหวเท้าตามที่ต้องการได้เลย ที่แม้ว่าจะเคลื่อนไหวเท้าเพียงเล็กน้อยก็ตาม รองเท้าก็สามารถจับตามเท้ามาได้ โดยไม่มีอาการเท้าเลื่อนหรือไหลภายในรองเท้าเหมือนกับรองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ ซึ่งช่วยให้การวางเท้าขณะยกน้ำหนักเป็นไปอย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 เป็นหน้าผ้าที่มีความกระชับ แนบเข้ารูปกับเท้า และไม่มีอาการยืดหรือย้วยขณะเคลื่อนไหว

และแผ่นเพลทเทคโนโลยี Lift and Run chassis system ยังช่วยประคองบริเวณส้นเท้าและข้อเท้า ให้มีความเสถียรมั่นคงและไม่มีอาการพลิกไปมาขณะยกน้ำหนัก

และขอบบริเวณส้นเท้าที่เป็นฟองน้ำที่หนานุ่ม ซึ่งสามารถให้ตัวได้ ยังทำให้การเล่นท่า Plank หรือ ท่า Mountain Climber ไม่มีอาการกัดหรือกดทับบริเวณเอ็นร้อยหวาย

ขอบบริเวณส้นเท้าที่เป็นฟองน้ำที่หนานุ่ม ซึ่งสามารถให้ตัวได้ ทำให้การเล่นท่า Plank หรือ ท่า Mountain Climber ไม่มีอาการกัดหรือกดทับบริเวณเอ็นร้อยหวาย

เสริมเพิ่มเติม ในช่วงแรกหลังออกจากกล่อง หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 จะมีอาการดึงบริเวณส้นเท้าขณะงอปลายเท้า รวมทั้งปลายเท้าช่วงแรกจะยังงอตัวตามเท้าได้น้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับรองเท้าที่มีแผ่นเพลทวางยาวตลอดทั้งพื้น ที่พื้นชั้นกลางทั้งพื้นจะมีความคงรูป และไม่ยืดหยุ่นงอตามเท้า

แต่เมื่อรองเท้าคู่นี้ถูกนำไปใช้งานมากพอ (หรือผ่านระยะ break in period) ที่พื้นชั้นกลางจะมีความนุ่มขึ้นและยืดหยุ่นขึ้น พร้อมที่จะงอตามเท้าได้ หน้าผ้าก็จะไม่มีอาการดึงบริเวณส้นเท้าเหมือนกับในช่วงแรกอีกต่อไป ทำให้สามารถจับกระชับบริเวณส้นเท้าได้ดีมากขึ้นและไม่มีอาการส้นรูด

เมื่อผ่านระยะ break in period หน้าผ้าจะจับกระชับบริเวณส้นเท้าได้ดีมากขึ้นและไม่มีอาการส้นรูด

ในด้านของการระบายอากาศ หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 สามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่มีอาการร้อนเท้าขณะออกกำลังกายในยิมหรือฟิตเนส ทำให้โดยรวมถือได้ว่าเป็นหน้าผ้าที่สวมใส่สบายเป็นอย่างมาก

ในส่วนของการเลือกไซส์ ทางเราเลือกตรงไซส์ คือ 11US โดยความยาวรองเท้าจะเท่ากับไซส์ 11US ของรองเท้าวิ่งของแบรนด์ Reebok และ Adidas

ซึ่งในส่วนของความกว้างหน้าเท้าของ Reebok Nano X3 จะค่อนข้างกว้างกว่าหน้าเท้าปกติ (Medium Width หรือ D) ที่ผู้สวมใส่หน้าเท้าปกติและหน้าเท้ากว้าง (2E) สวมใส่สบายและมีความกระชับ แต่ไม่มีอาการบีบรัดเท้าใดๆ ซึ่งทางเราได้ให้ผู้สวมใส่หน้าเท้ากว้างและหลังเท้าสูงทดสอบแล้ว ซึ่งสามารถสวมใส่ตรงไซส์ได้เลย

หน้าผ้าของ Reebok Nano X3 สามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่มีอาการร้อนเท้าขณะออกกำลังกายในยิมหรือฟิตเนส

พื้นชั้นกลาง (Midsole)

พื้นชั้นกลางของ Reebok Nano X3

ทางแบรนด์ Reebok ให้ข้อมูลว่า รองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano X3 มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Floatride Energy ที่สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ที่ได้แก่  

(1) พื้นชั้นกลาง Floatride Energy แบบไม่อัดเม็ดหรือแบบขึ้นรูปเต็มทั้งพื้น โดยจะเป็นพื้นโฟมหลัก ที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้จากภายนอก ซึ่งจะเป็นพื้นโฟมที่มีความนุ่มแน่น

(2) พื้นชั้นกลาง Floatride Energy แบบอัดเม็ด ที่ติดตั้งอยู่ภายในใต้แผ่นเพลทรูปทรงโดม ณ บริเวณส้นเท้า ซึ่งเป็นวัสดุโฟมเดียวกันกับที่ใช้ในรองเท้าวิ่งของแบรนด์ Reebok

Reebok Nano X3 มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Floatride Energy

ในด้านความนุ่มที่วัดได้จากบริเวณผิวด้านข้างของพื้นชั้นกลาง มีดังนี้

ความนุ่มพื้นชั้นกลางค่าความนุ่ม (Durometer Shore C: HC)ระดับความนุ่ม
Reebok Nano X350 – 52นุ่มน้อย ถึง เฟิร์ม

หมายเหตุ:

  • วิธีการอ่านค่า Durometer Shore C คือ ยิ่งตัวเลขน้อย พื้นโฟมจะยิ่งนุ่ม และตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเฟิร์ม
  • ระดับความนุ่มแบ่งเป็น นุ่มมาก (30-35 HC) ➞ นุ่ม (35-40 HC) ➞ นุ่มน้อย (40-50 HC)
  • ระดับความเฟิร์มแบ่งเป็น เฟิร์ม (50-60 HC) ➞ เฟิร์มมาก (60-70 HC)

และในส่วนความสูงของพื้นชั้นกลาง เมื่อวัดจริงที่รวมความสูงทั้งหมดของพื้นชั้นกลาง (รวมพื้นชั้นกลาง แผ่นรองรองเท้า แผ่นรองบุ และดอกยาง) จะมีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 20 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม. (Drop 7 มม.)

Reebok Nano X3 มีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 20 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม. (Drop 7 มม.)

และพื้นชั้นกลางของ Reebok Nano X3 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง “Lift and Run chassis system” (L.A.R system) ซึ่งเป็นโครงแผ่นเพลท TPU แข็งที่อยู่ภายในรองเท้า โดยมีลักษณะเป็นรูปทรงของโดมที่วางอยู่ใต้ส้นเท้า ที่เชื่อมต่อล้อมรอบขึ้นมาบริเวณข้อเท้า เพื่อเสริมความมั่นคง และแผ่นเพลทจะวางยาวไปจนถึงบริเวณปลายเท้า

เทคโนโลยี Lift and Run chassis system

นอกจากนี้ บริเวณกลางเท้าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี RopePro ที่เป็นการขึ้นรูปพื้นยางขึ้นมาโอบรอบบริเวณด้านข้างของเท้าทั้งสองฝั่ง เพื่อช่วยในการยึดเกาะขณะไต่เชือก

และในด้านการออกแบบองศาของพื้นชั้นกลางจะเป็นการออกแบบองศาที่เรียบแบนไปกับพื้น เพื่อเพิ่มความเสถียรและมั่นคงให้มากที่สุดสำหรับการยกน้ำหนัก โดยจะมีองศา Rocker บริเวณปลายเท้าและส้นเท้าที่ชันขึ้นเล็กน้อย เพื่อไว้สำหรับการวิ่ง

เทคโนโลยี RopePro พื้นยางที่ช่วยในการยึดเกาะขณะไต่เชือก

ในส่วนของแผ่นรองบุพื้น (Strobel) จะถูกติดตั้งด้วยวัสดุ EVA ที่ช่วยเพิ่มความนุ่มและช่วยในการส่งแรง และในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (Insole) มาพร้อมกับแผ่นรองวัสดุ EVA ที่มีความนุ่มแน่น เพื่อให้เท้ามีความเสถียรและมั่นคง โดยมีความหนาอยู่ที่ 5 มม.

แผ่นรองบุพื้น (Strobel) ถูกติดตั้งด้วยวัสดุ EVA
แผ่นรองรองเท้า (Insole) มาพร้อมกับแผ่นรองวัสดุ EVA ที่มีความนุ่มแน่น โดยมีความหนาอยู่ที่ 5 มม.

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ พื้นชั้นกลางของ Reebok Nano X3 ให้ความรู้สึกที่เสถียรและมั่นคงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงบริเวณกลางเท้าและส้นเท้า ที่แผ่นเพลท L.A.R system จะช่วยในการประคองเท้าและลดการยุบตัวของพื้นโฟม

ทำให้การยกน้ำหนักและการออกกำลังกายในยิมสามารถวางเท้าและยันตัวได้อย่างเต็มที่ ไม่มีอาการรองเท้าพลิกตัวไปมา หรือต้องเกร็งข้อเท้าใดๆ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานในยิมหรือฟิตเนสที่ดีกว่าการสวมใส่รองเท้าวิ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก

การยกน้ำหนักและการออกกำลังกายในยิมสามารถวางเท้าและยันตัวได้อย่างเต็มที่ ไม่มีอาการรองเท้าพลิกตัวไปมา หรือต้องเกร็งข้อเท้าใดๆ

และในส่วนของการวิ่ง พื้นชั้นกลางโดยรวมค่อนข้างมีความนุ่มแน่น และจะรู้สึกนุ่มบริเวณปลายเท้ามากกว่าบริเวณส้นเท้า ซึ่งจากที่ทางเรานำไปทดสอบวิ่งบนลู่ไฟฟ้า ที่โดยส่วนใหญ่ลู่วิ่งไฟฟ้าจะมีโช๊คสำหรับยุบซับแรงกระแทกในตัว ทำให้เมื่อวิ่งแล้วแทบจะไม่รู้สึกสะท้านหรือรู้สึกว่ารองเท้าเฟิร์มในการวิ่งบนลู่ไฟฟ้าแต่อย่างใด แต่การวิ่งบนถนนคอนกรีตหรือพื้นแข็งๆ ในระยะไกลเกิน 10 กม. อาจจะไม่เหมาะนัก

ทำให้ Reebok Nano X3 จะเหมาะกับการใช้งานในการวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งสปรินท์สั้นๆ บนลู่วิ่งโค้ง การเดินออกกำลังกายปรับความชันบนลู่ไฟฟ้า หรือวิ่งระยะสั้นในระยะที่ไม่เกิน 10 กม. ซึ่งจะตรงตามความต้องการของผู้เข้าฟิตเนสและยิมส่วนใหญ่ ที่มักจะเป็นการวิ่งแบบคาดิโอ เพื่อเผาพลาญไขมันเป็นหลักอยู่แล้ว

Reebok Nano X3 เหมาะกับการใช้งานในการวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งสปรินท์สั้นๆ บนลู่วิ่งโค้ง การเดินออกกำลังกายปรับความชันบนลู่ไฟฟ้า หรือวิ่งระยะสั้นในระยะที่ไม่เกิน 10 กม.

ในส่วนของผู้สวมใส่ที่เท้าล้ม (Overpronators) รองเท้าคู่นี้สามารถสวมใส่ได้เลย โดยไม่มีอาการเท้าล้ม เนื่องจากแผ่นเพลท L.A.R system จะคอยช่วยค้ำยันบริเวณอุ้งเท้าด้านใน ทำให้การยกน้ำหนักสามารถวางเท้าได้อย่างเต็มเท้า โดยที่โฟมไม่ยุบตัวด้านในเหมือนกับรองเท้าวิ่ง

ดอกยาง (Outsole)

ดอกยางของ Reebok Nano X3

Reebok Nano X3 มาพร้อมกับดอกยาง All-surface rubber ที่ถูกออกแบบลวดลายของดอกยางใหม่ทั้งหมดให้มีพื้นผิวที่เรียบแบนตลอดทั้งพื้น เพื่อช่วยในการยึดเกาะพื้นในฟิสเนสและยิม รวมไปถึงการไต่ผนังได้ดียิ่งขึ้น

และดอกยางบริเวณปลายเท้าจะมีการผ่าและฉลุเนื้อยางออก เพื่อให้บริเวณปลายเท้าสามารถงอและเคลื่อนไหวได้ตามเท้ามนุษย์ และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เทคโนโลยี RopePro กับดอกยางจะเป็นวัสดุและขึ้นรูปมาเป็นชิ้นเดียวกัน ณ บริเวณกลางเท้า เพื่อช่วยในการยึดเกาะขณะไต่เชือก

ดอกยางบริเวณปลายเท้ามีการผ่าและฉลุเนื้อยางออก เพื่อให้บริเวณปลายเท้าสามารถงอและเคลื่อนไหวได้ตามเท้ามนุษย์

ในด้านประสิทธิภาพของการยึดเกาะพื้นของเนื้อดอกยาง สามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง ดอกยางของ Reebok Nano X3 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 58 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่แห้งอยู่ 35 องศา)
  • ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวที่เปียกน้ำ ดอกยางของ Reebok Nano X3 สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานเช่นกัน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 23 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนนอยู่ 20 องศา)
ประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นของ Reebok Nano X3

โดยค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งถนน คือ ค่าเฉลี่ยที่รองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่สามารถยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่ถูกออกแบบมาให้กับรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20 องศา

ซึ่งค่าการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของดอกยางทั้งในรองเท้าวิ่งถนนและวิ่งเทรล ที่ทางเราทดสอบแล้วพบว่า “ให้ความรู้สึกที่มั่นคงมาก ไม่อาการลื่นหรือไถลบนเส้นทางที่เปียกน้ำ จะมีค่าอยู่ที่ 30 องศาขึ้นไป”

Reebok Nano X3 มาพร้อมกับดอกยาง All-surface rubber

โดยรวม ดอกยางของ Reebok Nano X3 เป็นดอกยางที่สามารถยึดเกาะพื้นผิวแห้งได้อย่างดีเยี่ยม และถือเป็นหนึ่งในดอกยางที่ยึดเกาะพื้นแห้งได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับดอกยางในรองเท้าวิ่งถนน

และในส่วนของการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานรองเท้าวิ่งถนนส่วนใหญ่ รวมทั้งในด้านของความทนทาน ดอกยางถือได้ว่ามีความทนทานเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้งานในฟิตเนสและในยิม ดอกยางแทบไม่มีการสึกให้เห็น

สรุปโดยรวมและการใช้งาน

สรุปโดยรวมและการใช้งานของ Reebok Nano X3

Reebok Nano X3 เป็นรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในการออกกำลังกายในฟิตเนสและยิมทุกประเภท โดยพื้นชั้นกลางที่เสถียรและมั่นคงทำให้การยกน้ำหนักและการเวทเทรนนิ่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการสวมใส่รองเท้าวิ่งส่วนใหญ่

และในด้านของการวิ่งแบบคาดิโอ เพื่อเผาพลาญไขมันบนลู่วิ่งไฟฟ้า และวิ่งสปรินท์สั้นๆ บนลู่วิ่งโค้ง รวมไปถึงการเดินออกกำลังกายปรับความชันบนลู่ไฟฟ้า ที่ระยะไม่เกิน 10 กม. โดยรวมถือได้ว่าสามารถใช้งานได้ดี โดยไม่มีปัญหาใดๆ

และในส่วนของหน้าผ้ามีความกว้าง สวมใส่สบายเท้า ระบายอากาศได้ดี และยังมีความทนทานต่อการขีดข่วนเป็นอย่างมากและสามารถปกป้องเท้าได้ดี รวมไปถึงดอกยางที่ยึดเกาะพื้นในฟิตเนสและยิมได้อย่างดีเยี่ยมและมีความทนทานในการใช้งาน

Reebok Nano X3 เป็นรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในการออกกำลังกายในฟิตเนสและยิมทุกประเภท

ซึ่งในแง่ของผู้ออกกำลังกายในฟิตเนสและยิมอยู่เป็นประจำ รองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์อย่าง Reebok Nano X3 ถือได้ว่าเป็นรองเท้าคู่หลักสำหรับใช้ในการออกกำลังกาย ที่จะช่วยให้การออกกำลังกายในฟิตเนสและยิมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่ต้องมากังวลกับปัญหาความไม่เสถียรที่เกิดขึ้นในรองเท้าวิ่งขณะยกน้ำหนัก

และในแง่ของนักวิ่ง รองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ประเภทนี้จะถูกใช้ในการเวทเทรนนิ่งขาและเข่าในฟิตเนสหรือยิม เพื่อให้ขาและเข่าสามารถรับแรงกระแทกและส่งแรงได้ดีขึ้น และมีความแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งโดยปกติการเวทเทรนนิ่งขาและเข่าจะอยู่ที่ 1 – 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ทำให้รองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ประเภทนี้ก็จะมีความจำเป็นต่อนักวิ่งอยู่ไม่น้อย

ในแง่ของนักวิ่ง รองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ประเภทนี้จะถูกใช้ในการเวทเทรนนิ่งขาและเข่าในฟิตเนสหรือยิม

โดยรวม Reebok Nano X3 เป็นรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ ที่ครบเครื่องและใช้งานได้ดีในการออกกำลังกายและฝึกซ้อมในฟิตเนสและยิมทุกประเภท โดยถือเป็นรองเท้าที่จำเป็นต้องใช้สำหรับผู้ออกกำลังกายในฟิตเนสและยิม และสามารถใช้งานได้ดีในการเวทเทรนนิ่งสำหรับนักวิ่ง

Reebok Nano X3 เป็นรองเท้าเทรนนิ่งเอนกประสงค์ ที่ครบเครื่องและใช้งานได้ดีในการออกกำลังกายและฝึกซ้อมในฟิตเนสและยิมทุกประเภท

และในบทความรีวิว Reebok Nano X3 นี้ ต้องขอขอบคุณทาง Reebok Thailand ที่ส่งรองเท้ามาให้ทางเราทดสอบนะครับ

และท่านใดที่สนใจรองเท้าเทรนนิ่ง Reebok Nano X3 ณ เวลานี้ มีวางจำหน่ายแล้วในราคา 5,290 บาท ที่ Supersport หรือสามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ

รีวิว Reebok Nano X3 ตำนานรองเท้าเทรนนิ่ง 13 ปี แห่งการปฏิวัติวงการฟิตเนส

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ออกกำลังกายหลายๆ ท่าน ขอให้ออกกำลังกายให้สนุกครับ

สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน

More on this topic

Popular stories

Training Plan