พรีวิว Salomon Sense Ride 4 การปรับปรุงที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิม

Related Articles

Salomon ตระกูล Sense Ride เป็นอีกหนึ่งรองเท้าวิ่งเทรลมหาชนที่คุ้มค่าและมีความเอนกประสงค์ในการใช้งาน ที่ในปี 2021 นี้ถูกเปิดตัวมาถึงรุ่นที่ 4 ซึ่งจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง? และน่าสนใจเพียงใด เชิญติดตามได้เลยครับ

ความแตกต่างระหว่าง Sense Ride 4 และ Sense Ride 3

ก่อนอื่นเลยต้องย้อนกลับไปเล่าถึงรุ่นก่อนหน้าอย่าง Salomon Sense Ride 3 ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 กันก่อน

โดย Salomon Sense Ride 3 เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดของตระกูล Sense Ride ที่มีการเปลี่ยนรูปร่างลักษณะและวัสดุของพื้นชั้นกลางใหม่จากพื้นชั้นกลาง Vibe ที่ทำมาจากวัสดุ EVA ที่บริเวณส้นเท้ามีการใส่โฟม Opal เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทก กลายมาเป็นพื้นชั้นกลาง Optivibe

ซึ่งพื้นชั้นกลาง Optivibe เป็นการนำเอาเทคโนโลยีของรองเท้าถนนของแบรนด์ Salomon มาใช้ โดยพื้นชั้นกลางจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนเนื้อโฟม ที่เป็นวัสดุผสมระหว่าง EVA กับ Olefin และอีกส่วนหนึ่งคือ JPAD ซึ่ง JPAD จะเป็นแผ่นยาง EVA ชนิดพิเศษที่มีหน้าที่สำหรับรับแรงกระแทกบริเวณส้นเท้า เพื่อลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อขาขณะวิ่งในระยะทางไกล

พื้นชั้นกลาง Optivibe ที่พื้นชั้นกลางจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนเนื้อโฟม ที่เป็นวัสดุผสมระหว่าง EVA กับ Olefin และอีกส่วนหนึ่งคือ JPAD

ความรู้เพิ่มเติม
Olefin หรือชื่อเต็ม Olefin Block Copolymers เป็นวัสดุที่ทางบริษัทเคมีภัณฑ์ของอเมริกาอย่าง DOW chemical เป็นผู้ผลิต โดยมีชื่อทางการค้าว่า “INFUSE” โดยวัสดุ Olefin มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ TPU หรือวัสดุตั้งต้นที่ใช้ผลิต Boost ของ Adidas แต่ Olefin มีข้อดีในเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า

และจากการวิจัยของทางแบรนด์ Salomon พบว่า “พื้นชั้นกลาง Optivibe สามารถช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของกล้ามเนื้อขณะลงเท้าได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และช่วยซับแรงกระแทกได้ถึง 8 เปอร์เซ็นต์ โดยยังคงความสามารถในการตอบสนองและส่งแรงที่มีประสิทธิภาพ”

นี้จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพื้นที่ไม่ได้นุ่มนักของ Sense Ride 3 จึงไม่มีอาการสะท้านเท้าหรือเกิดอาการเท้าล้าขณะวิ่งระยะไกลมากนัก

ซึ่งหลังจากเปิดตัวไป Salomon Sense Ride 3 ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งเทรลที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีในต่างประเทศ รวมไปถึงตัวแอดมินเอง ที่ซื้อรุ่นที่ 3 นี้ มาใช้งานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (ในคลิปรีวิวนาฬิกา Coros ก็จะเห็นใส่วิ่งอยู่) และค่อนข้างประทับใจในพื้นชั้นกลางและดอกยางอยู่ไม่น้อย ที่วิ่งสนุกทั้งในทางดินเรียบและทางที่ทรุกันดาร เช่น ทางในป่าและทางหินลอย

รวมไปถึงความนุ่มของพื้นที่กำลังพอเหมาะ ที่ไม่นุ่มจนกินแรงและไม่แข็งจนสะท้าน นอกจากนี้ พื้นยังมีความเสถียรและแทบไม่มีโอกาสทำให้ข้อเท้าพลิกได้เลย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของรุ่น Sense Ride 3 คือ หน้าผ้าที่ออกแบบมาไม่เหมาะกับอากาศร้อนของประเทศไทยนัก โดยหน้าผ้าจะมีการทอละเอียด ลักษณะคล้ายหน้าผ้า 2 ชั้น ซึ่งทำให้ระบายอากาศได้ไม่ดีนัก

รวมไปถึงการออกแบบลิ้นรองเท้าที่แทงข้อเท้าด้านหน้าขณะวิ่งอยู่ตลอดเวลา และตะเข็บของลิ้นรองเท้าด้านในที่อาจสร้างความไม่สบายขณะสวมใส่ นอกจากนี้ ขอบบริเวณส้นเท้าที่ชิดกับเอ็นร้อยหวายเกินไปจนอาจนำไปสู่อาการกัดเอ็นร้อนหวายในนักวิ่งบางท่าน

ทำให้ในปี 2021 นี้ ทางแบรนด์ Salomon ได้เปิดตัว Salomon Sense Ride 4 ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาในส่วนของหน้าผ้าในรุ่น Sense Ride 3 ทั้งหมด

โดย Salomon Sense Ride 4 จะเป็นการเปลี่ยนหน้าผ้าใหม่แบบยกชุด ซึ่งสิ่งที่ปรับปรุงมาใหม่มีดังนี้

  • เปลี่ยนหน้าผ้าเป็นหน้าผ้าทอแบบชั้นเดียว (Single Layer Mesh) ที่โปร่งและมีรูระบายอากาศมากขึ้น และย้ายการสกรีนยางรอบตัวรองเท้าออกมาไว้ด้านนอกเนื้อผ้า แทนที่การฝั่งไว้ด้านในเนื้อผ้า
  • เสริม Toe Bumper ให้มีความแข็งขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มการปกป้องเท้า เมื่อวิ่งสะดุดไปโดนหิน
  • ออกแบบลิ้นรองเท้าใหม่ให้มีความเข้ารูปกับข้อเท้าด้านหน้าของนักวิ่งมากขึ้น รวมไปถึงการใช้ความร้อนรีดตะเข็บด้านในลิ้นรองเท้าแทนที่การเย็บตะเข็บ เพื่อลดการระคายเคืองขณะสวมใส่
  • ออกแบบขอบบริเวณส้นเท้า (Heel Counter) ใหม่ โดยเป็นการบุฟองน้ำ 2 ชิ้น ด้านข้างของบริเวณข้อเท้า และปรับองศาหน้าผ้าบริเวณส้นเท้าให้ห่างจากเอ็นร้อยหวายมากยิ่งขึ้น เพื่อลดการเสียดระหว่างเอ็นร้อยหวายกับบริเวณขอบ Heel Counter
  • ลดความยาวของเชือก Quick Lace ให้สามารถพับเก็บใส่กระเป๋าที่ลิ้นรองเท้าได้ง่ายขึ้น
  • เปลี่ยนแผ่นรองรองเท้า (Insole) ไปเป็นแผ่นรอง OrthoLite รุ่น Eco ที่เป็นการใช้วัสดุรีไซเคิล 5 เปอร์เซ็นต์ในการผลิต โดยแผ่นรองมีน้ำหนักที่เบาเพียง 16 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับแผ่นรอง OrthoLite รุ่นดั้งเดิมที่มีถึงน้ำหนัก 23 กรัม หรือเบาขึ้นราวๆ 7 กรัม

และในส่วนของพื้นชั้นกลางและดอกยางของรุ่น Sense Ride 4 ทางแบรนด์ Salomon กล่าวว่า “เป็นพื้นตัวเดียวกับในรุ่น Sense Ride 3 ทุกประการ”

โดยรวมการปรับปรุงในครั้งนี้ ทำให้ Salomon Sense Ride 4 มีน้ำหนักอยู่ที่ 317 กรัม ในไซส์ 10.5US ชาย ซึ่งในรุ่นเดิมอย่าง Sense Ride 3 มีน้ำหนักอยู่ที่ 327 กรัม ในไซส์เดียวกัน หรือมีน้ำหนักลดลงมาประมาณ 10 กรัม ซึ่งเกิดจากแผ่นรองรองเท้าที่เบาขึ้น 7 กรัม และหน้าผ้าอีก 3 กรัม

ความรู้สึกครั้งแรกหลังใส่ Salomon Sense Ride 4

วันนี้ขอพูดถึงความรู้สึกครั้งแรกหลังใส่ Salomon Sense Ride 4 กันก่อน เนื่องจากทางแอดมินยังไม่ได้นำไปวิ่งเก็บระยะมากนักจึงยังไม่สามารถอธิบายรีวิวแบบเต็มได้นะครับ เดี่ยวจะมีวิดีโอรีวิวฉบับเต็มออกมาอีกทีครับ

ความรู้สึกแรกคือ หน้าผ้าของ Salomon Sense Ride 4 ให้ความรู้สึกที่กว้างขวางใส่สบายขึ้นจากรุ่นเดิมมาก อาจจะเป็นเพราะเนื้อผ้าที่บางลงทำให้ด้านในมีพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เหมาะกับการวิ่งในระยะทางไกล ที่เท้าจะมีการขยายขึ้นเป็นพิเศษ โดยที่หน้าผ้ายังคงสามารถจับและกระชับเท้าได้ดีอยู่

และหน้าผ้าที่โปร่งมากขึ้น ทำให้ระบายอากาศได้ดีมากและดีกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งอาการลิ้นรองเท้าที่เสียดสีกับข้อเท้าด้านหน้าและอาการเสียดสีบริเวณเอ็นร้อยหวายก็ได้หายไปแล้ว ซึ่งหลังจากวิ่งมายังไม่เจออาการหน้าผ้ากัดเท้า

นอกจากนี้ แม้ว่าทางแบรนด์ Salomon จะกล่าวว่ารุ่น Sense Ride 4 มีความกว้างของหน้าเท้าแบบปกติ แต่ในความรู้สึกส่วนตัวของแอดมิน คิดว่า นักวิ่งที่หน้าเท้ากว้างน่าจะใส่รุ่นนี้ได้สบายๆ

ในส่วนของพื้นชั้นกลาง แม้ว่าทางแบรนด์ Salomon จะกล่าวว่า “ไม่มีการปรับเปลี่ยนสูตรพื้นโฟมใหม่” แต่ทางแอดมินใส่แล้วรู้สึกว่า พื้นมีความเฟิร์มขึ้นกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากการวิ่งเก็บระยะที่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พื้นเริ่มนุ่มจนเข้าที่ โดยในส่วนนี้ทางเราต้องขอนำไปทดสอบเก็บระยะเพิ่มก่อนนะครับ

แต่โดยรวม พื้นยังคงความเสถียรและมั่นคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในทางที่ทรุกันดารมากๆ (Technical Trails) เช่น ทางในป่าและทางหินลอย ได้เป็นอย่างดีเหมือนในรุ่นเดิม

และในส่วนของดอกยางยังคงเป็นดอกยาง Contagrip MA (Mix – Adhesion) หรือ ดอกยางเอนกประสงค์ที่ใช้งานได้ดีและยึดเกาะได้แน่นในทุกๆ สภาพพื้นผิว

เสริมเพิ่มเติม

• ในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (หรือ Insole) OrthoLite รุ่น Eco ที่มีข้อดีในด้านของน้ำหนักที่เบา แต่สิ่งที่แลกมาคือ ความหนาแน่นของแผ่นรองที่หายไป หรือพูดง่ายๆ คือ แผ่นรองยุบตัวง่ายขึ้นและไม่ซับแรงเท่ารุ่นเดิม ซึ่งข้อนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล แต่ส่วนตัวแอดมินชอบแผ่นรองเนื้อแน่นๆ แบบเดิมมากกว่า

• สำหรับนักวิ่งเท้าแบน (Overpronation) สามารถใช้งาน Salomon Sense Ride 4 ได้อย่างไม่มีปัญหา เนื่องจาก พื้นโฟมบริเวณส้นเท้ามีการเสริมขอบโฟมขึ้นมาล้อมรอบบริเวณส้นเท้า ทำหน้าที่เสมือนตัวช่วยประคองเท้าให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งนักวิ่งเท้าล้มก็ได้รับประโยชน์ตรงส่วนนี้ด้วย และนักวิ่งเท้าปกติก็ยังไม่รู้สึกว่าดันอุ้งเท้าอีกด้วย

ข้อมูลจำเพาะของ Salomon Sense Ride 4
• หน้าผ้า Anti-Debris mesh
• มาพร้อมกับระบบมัดเชือกแบบ Quicklace + ช่องเก็บสายบริเวณลิ้นรองเท้า (Quicklace Garage)
• พื้นชั้นกลาง Optivibe
• มาพร้อมกับแผ่นรองกันหิน Profeel Film
• ดอกยาง Contagrip MA
• น้ำหนัก: 317 กรัม ในไซส์ 10.5US ชาย (ชั่งจริง)
• Offset: 8 มม. (ปลายเท้าสูง 19 มม. และส้นเท้าสูง 27 มม.)
• ราคา: 4,450 บาท

และขอขอบคุณทาง Salomon Thailand ที่ส่งรองเท้าวิ่งเทรล Salomon Sense Ride 4 และชุดเสื้อผ้ามาให้กับทางเราได้ทดสอบนะครับ

ทางแอดมินต้องขอนำไปทดสอบเพิ่มเติมในหลายๆ ส่วนอีกครั้ง แล้วจะนำออกมาเป็นวิดีโอรีวิวอีกทีนะครับ

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน

More on this topic

Popular stories

Training Plan