วันนี้เรามาอธิบายและพูดคุยกันถึงข้อมูลรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นใหม่จากแบรนด์ The North Face ที่ได้ทำการเปิดตัวมาถึง 4 รุ่น ในปี 2023 นี้ ที่ได้แก่ รุ่น Summit VECTIV Pro, Summit VECTIV Sky, VECTIV Infinite II และ VECTIV Enduris III ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดและถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานอะไร เชิญติดตามได้เลยครับ

ความเป็นมาของรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV

รองเท้าวิ่งเทรล ซีรีส์ VECTIV ของแบรนด์สัญชาติอเมริกัน The North Face เป็นซีรีส์ที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงปลายปี 2019 หลังจากที่นักวิ่งเทรลชาวสเปน Pau Capell สามารถคว้าแชมป์ในรายการแข่งขันที่ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2019 ด้วยเวลา 20:19:07 ชั่วโมง
และ Pau Capell ยังได้เตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างเต็มที่กับการแข่งขันในปีถัดไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2019 ถึงปี 2020 เป็นปีที่มีการยกเลิกการแข่งขันวิ่งในหลายรายการจากการระบาดของโรคโควิด 19 โดยรายการแข่ง UTMB ในปี 2020 ก็เป็นหนึ่งในรายการแข่งที่ถูกยกเลิกในปีนั้น

ส่งผลให้การฝึกซ้อมของ Pau Capell อาจจะต้องสูญเปล่า แต่เขาได้เข้าไปพูดคุยกับผู้จัดการของเขาว่า เขามีไอเดียที่จะทำลายสถิติสนามแข่ง UTMB ที่มีระยะทางกว่า 170 กม. และมีความชันรวมกว่า 10,000 เมตร ภายในเวลา 20 ชั่วโมง ซึ่งการพูดคุยกันในครั้งนั้น ทำให้เกิดเป็นโปรเจกต์ที่มีชื่อว่า “Breaking 20″
ซึ่งโปรเจกต์ Breaking 20 ได้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้แบรนด์ The North Face ก่อตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับวิจัยและออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลขึ้น โดยมีชื่อว่า “All Triangles” ณ เมือง Annecy ประเทศฝรั่งเศส โดยศูนย์วิจัยนี้เป็นเสมือนหัวหอกสำคัญในการออกแบบและพัฒนารองเท้าวิ่งเทรลซีรีส์ VECTIV
โดยเป้าหมายของรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV คือ การออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลที่ผสานนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุด เพื่อช่วยให้เหล่านักวิ่งเทรลสามารถทำลายสถิติเวลาของสนามแข่ง (หรือที่นักวิ่งเทรลเรียกว่า Fastest Known Time หรือ FKT)

และรองเท้าวิ่งเทรลซีรีส์ VECTIV รุ่นแรก คือ The North Face Flight VECTIV รองเท้าวิ่งเทรลที่มาพร้อมกับแผ่นคาร์บอนคู่แรกของโลก และเป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่ Pau Capell สวมใส่ในโปรเจกต์ Breaking 20
และแม้ว่าในครั้งนั้น เขาจะไม่สามารถทำลายกำแพง 20 ชั่วโมงลงได้ เนื่องจากเขาพลาดล้มขณะวิ่งในช่วงเวลากลางคืนจนทำให้มีอาการบาดเจ็บที่แขนและหัวเข่าแตก โดยที่จุดที่เขาล้มไม่มีทีมช่วยเหลืออยู่เลย แต่เขาก็ยังลุกขึ้นวิ่งต่อและสามารถวิ่งจบด้วยระยะเวลา 21 ชั่วโมง 17 นาที 18 วินาที

ซึ่งต่อมา Pau Capell ยังได้นำรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นนี้เข้าทำลายสถิติสนามแข่ง Trail de Menorca ในปี 2020 หรือการแข่งขันวิ่งเทรลรอบเกาะ Menorca ณ ประเทศสเปน ที่มีระยะทาง 185 กม. ด้วยเวลา 16:46:00 ชั่วโมง จากสถิติเดิมที่เขาทำไว้ด้วยเวลา 18:40:00 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมีนักวิ่งเทรลภายในทีม The North Face ที่นำรองเท้าวิ่งเทรล The North Face Flight VECTIV เข้าทำลายสถิติสนามแข่งและคว้าแชมป์รายการต่างๆ มากมาย เช่น นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Kaytlyn Gerbin ที่คว้าแชมป์และทำลายสถิติสนามแข่ง Transgrancanaria (ระยะ 128 กม.) ในปี 2020 ด้วยเวลา 15:14:40 ชั่วโมง
และนักวิ่งเทรลชายที่มีคะแนน ITRA สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกจากสหราชอาณาจักรอย่าง Jonathan Albon ยังได้ใช้รองเท้าวิ่งเทรลคู่นี้คว้าแชมป์ UTMB ระยะ OCC (ระยะ 55 กม.) ในปี 2021 อีกด้วย

และต่อมาทางแบรนด์ The North Face ได้ทำการเปิดตัวรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับนักวิ่งมหาชนรุ่นต่างๆ ในซีรีส์ VECTIV อย่าง VECTIV Infinite และ VECTIV Enduris โดยทั้ง 3 รุ่น ถูกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2021
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารองเท้าวิ่งเทรลซีรีส์ VECTIV ยุคแรกในปี 2021 จะมีผลงานที่ดีในสนามแข่ง แต่ก็ยังเป็นรองเท้าที่ต้องมีการปรับปรุงและแก้ไข โดยเฉพาะกับการออกแบบแผ่นคาร์บอน ที่ในรุ่นแรกเป็นแผ่นเพลทแบบเต็มแผ่นที่ไม่สามารถให้ตัวด้านข้างได้ ทำให้การวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร ตัวรองเท้าจะมีอาการพลิกไปมาได้ง่าย

ทำให้ในช่วงกลางปี 2021 แบรนด์ The North Face ได้ดึงตัวนักออกแบบรองเท้าวิ่งชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกันอย่าง Matthew Head เจ้าของผลงานการออกแบบรองเท้าวิ่ง Hoka One One Carbon X, Tecton X, และ TenNine เข้ามานำทีมออกแบบและพัฒนารองเท้าวิ่งเทรลซีรีส์ VECTIV ในปี 2023 นี้
โดยการออกแบบในครั้งนี้ของ Matthew Head ถือได้ว่าจัดเต็มในทุกนวัตกรรม ตั้งแต่วัสดุหน้าผ้า วัสดุพื้นชั้นกลาง การออกแบบองศาพื้นชั้นกลางและแผ่นเพลท รวมไปถึงดอกยาง ที่ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมด

นอกจากนี้ ทีมออกแบบของแบรนด์ The North Face ยังอธิบายถึงแนวคิดในการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลในปีนี้ว่า “รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกลจะถูกออกแบบบนพื้นฐานของความสุขและความสนุกในการวิ่งเทรล แม้ว่าจะอยู่ในการแข่งขันก็ตาม ซึ่งนักวิ่งอาจจะต้องลงสนามแข่งที่ใช้เวลายาวนานถึง 24 ชั่วโมง แต่ช่วงเวลานั้นต้องเป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอ ดังนั้น รองเท้าวิ่งเทรลของเราต้องสามารถมอบความรู้สึกที่เพลิดเพลินในการวิ่ง”
รองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV ในปี 2023

รองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV ในปี 2023 ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและเตรียมวางจำหน่ายในต่างประเทศภายในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยรองเท้าวิ่งเทรล 4 รุ่น หลัก ที่ได้แก่
รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันสำหรับนักวิ่งเทรลอาชีพ โดยในปีนี้จะถูกเรียกว่า Summit Series ซึ่งจะมี 2 รุ่น ดังนี้
- The North Face Summit VECTIV Pro รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.)
- The North Face Summit VECTIV Sky รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.)

รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับฝึกซ้อมและแข่งขันของนักวิ่งมหาชน 2 รุ่น ดังนี้
- The North Face VECTIV Infinite II รองเท้าวิ่งเทรลสายผจญภัยระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.)
- The North Face VECTIV Enduris III รองเท้าวิ่งเทรลสายผจญภัยระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.)

โดยรายละเอียดแต่ละรุ่นมีดังนี้
The North Face Summit VECTIV Pro
The North Face Summit VECTIV Pro เป็นรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0-170 กม.) โดยเฉพาะ

โดย The North Face Summit VECTIV Pro จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางลิขสิทธิ์เฉพาะรุ่นใหม่ของแบรนด์ The North Face ซึ่งเป็นวัสดุ Pebax ผสมกับวัสดุ EVA ที่มี Energy Return สูง (Pebax/High Rebound EVA Blend) เพื่อให้วัสดุ Pebax มีความทนทานในการใช้งานที่สูงขึ้นบนสภาพแวดล้อมที่มีความทรุกันดาร

และบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนแบบยาวเต็มแผ่น (Full-length 3D Carbon Plate) ที่ในครั้งนี้จะมีการแยกแผ่นคาร์บอนด้านในออกเป็นก้านทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถปรับตัวไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ดีขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นเพลทที่ไม่สามารถให้ตัวในยุคแรก
และบริเวณปลายเท้าของแผ่นเพลทคาร์บอนจะมีการพับแผ่นคาร์บอนลงมาเป็นลักษณะคล้ายกับปีกทั้งสองฝั่งและถูกฝังไว้ด้านใน ซึ่งทางแบรนด์เรียกว่า “Stability Wings” เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรและมั่นคงให้กับพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้าที่มีความหนาและนุ่มมาก

รวมทั้งทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับองศา Rocker บริเวณปลายเท้าให้ชันขึ้นอีก 10 มม. เพื่อช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการวิ่ง
ซึ่งการรวมกันระหว่างวัสดุพื้นชั้นกลาง องศาพื้นชั้นกลาง และแผ่นคาร์บอน ทางแบรนด์จะเรียกว่า “เทคโนโลยี VECTIV 2.0″ โดยเทคโนโลยีนี้จะทำให้รองเท้าสามารถตอบสนองและส่งแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ละทิ้งความเสถียรและมั่นคง แม้ว่าพื้นชั้นกลางจะมีความหนาและนุ่ม

และในส่วนของหน้าผ้าจะมาพร้อมกับหน้าผ้า TPU Mesh แบบ 2 ชั้น (Dual-layer TPU Mesh) ตลอดทั้งหน้าผ้า ที่มีความทนทานในการใช้งานและระบายอากาศและน้ำได้อย่างรวดเร็ว
โดยหน้าผ้าวัสดุ TPU Mesh มีคุณสมบัติเด่น คือ เป็นหน้าผ้าที่มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ที่เนื้อผ้าจะไม่ซับและไม่อมน้ำ ทำให้เมื่อวิ่งลงน้ำ หน้าผ้าจะไม่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการเพิ่มความกว้างของหน้าเท้า เพื่อให้สวมใส่สบายขึ้นสำหรับการแข่งขันวิ่งระยะไกล

และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ The North Face ที่มีชื่อว่า “Surface CTRL” ที่เนื้อยางมีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติ (Bio-based) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะลายดอกยางจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีบเท้าของสัตว์ (Hoof lug design) และมีความสูงของดอกยางอยู่ที่ 3.5 มม.

ในด้านของผลงานการแข่งขัน นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Katie Schide อดีตนักวิ่งเทรลสังกัด On Running ซึ่งเธอเคยจบการแข่งขัน UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2019 ด้วยอันดับที่ 6 และในปี 2021 ด้วยอันดับที่ 8 ของฝ่ายหญิง แต่หลังจากที่ย้ายมาสังกัดอยู่กับทีม The North Face เธอได้สวมใส่รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบของ The North Face Summit VECTIV Pro เข้าคว้าแชมป์ UTMB ของฝ่ายหญิง ในปี 2022 ได้สำเร็จ
ซึ่ง Katie Schide กล่าวว่า รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบคู่นี้ช่วยให้เธอประหยัดแรงได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับเส้นทางที่ต้องวิ่งลงเขายาวในช่วงครึ่งท้ายของการแข่งขัน และแม้ว่าจะเหนื่อยล้าในช่วงท้าย แต่รองเท้ามีความนุ่ม รองรับแรงกระแทกได้ดี รวมทั้งช่วยในการส่งแรงเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีนักวิ่งเทรลชายจากสหรัฐอเมริกา Zach Miller ที่สวมใส่รองเท้าต้นแบบคู่นี้จบการแข่งขัน UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2022 ด้วยอันดับที่ 5

ข้อมูลจำเพาะของ The North Face Summit VECTIV Pro
- Offset: 6 มม. (ปลายเท้าสูง 26 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- น้ำหนัก: 287 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 242 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- ดอกยางสูง 3.5 มม.
The North Face Summit VECTIV Sky
The North Face Summit VECTIV Sky เป็นรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.) อีกรุ่นหนึ่ง โดยจะถูกออกแบบให้มีความสูงพื้นชั้นกลางอยู่ในระดับปานกลาง (Mid-stack Height) และถือเป็นรุ่นที่เข้ามาแทนที่โดยตรงของรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก

ซึ่งทีมออกแบบของแบรนด์ The North Face อธิบายว่า
“เรารู้ว่า รองเท้าวิ่งเทรล The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก ไม่ใช่รองเท้าวิ่งเทรลที่เหมาะกับนักวิ่งเทรลทุกคนภายในทีมของเรา ทั้งในด้านของระยะในการแข่งขัน รวมไปถึงความชื่นชอบของนักวิ่ง ที่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะวิ่งบนรองเท้าวิ่งเทรลที่หนาและนุ่ม พวกเขายังคงชื่นชอบรองเท้าวิ่งเทรลที่ไม่หนามาก”
“ซึ่งทำให้เราต้องมีการแบ่งรองเท้าวิ่งเทรลออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งรองเท้าวิ่งเทรลพื้นหนา (High-stack Height) และรองเท้าวิ่งเทรลที่มีพื้นหนาปานกลาง (Mid-stack Height)”
“โดย The North Face Summit VECTIV Sky สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเพียงพอสำหรับการแข่งขันระยะไกล รวมไปถึงมีความเอนกประสงค์ที่จะใช้ในการแข่งขันระยะสั้นอย่าง Sky Race, Mountain Marathon, และ Vertical K”

โดย The North Face Summit VECTIV Sky จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางลิขสิทธิ์เฉพาะรุ่นใหม่ของแบรนด์ The North Face ซึ่งเป็นวัสดุ EVA ที่มี Energy Return สูง (High Rebound EVA) เพื่อให้รองเท้ามีความเสถียรและมั่นคงในการวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร และด้านในบริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งวัสดุโฟม Pebax ที่มีความหนา 4 มม. ในการทำหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองและส่งแรงขณะวิ่ง
และเมื่อเปรียบเทียบความสูงของพื้นชั้นกลางกับรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก จะได้ดังนี้
- The North Face Summit VECTIV Sky มีความสูงพื้นชั้นกลาง 17/21 มม. (Drop 4 มม.)
- The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก มีความสูงพื้นชั้นกลาง 19/25 มม. (Drop 6 มม.)

และบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนแบบยาวเต็มแผ่น (Full-length 3D Carbon Plate) ที่ในครั้งนี้จะมีการแยกแผ่นคาร์บอนด้านในออกเป็นก้านทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถปรับตัวไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ดีขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นเพลทที่ไม่สามารถให้ตัวในยุคแรก
แต่ใน The North Face Summit VECTIV Sky จะไม่มีการพับแผ่นคาร์บอนบริเวณปลายเท้าลงมาเป็น “Stability Wings” เนื่องจากพื้นชั้นกลางมีความเสถียรที่เพียงพอ

รวมทั้งทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับองศา Rocker บริเวณปลายเท้าให้ชันขึ้นอีก 10 มม. เพื่อช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการวิ่ง ซึ่งการรวมกันระหว่างวัสดุพื้นชั้นกลาง องศาพื้นชั้นกลาง และแผ่นคาร์บอน ทางแบรนด์จะเรียกว่า “เทคโนโลยี VECTIV 2.0″

และในส่วนของหน้าผ้าจะมาพร้อมกับหน้าผ้า TPU Mesh แบบ 2 ชั้น (Dual-layer TPU Mesh) บริเวณปลายเท้า ที่ระบายอากาศและน้ำได้อย่างรวดเร็วและไม่อมน้ำ และบริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้าจะเป็นเนื้อผ้า Ripstop Mesh ที่ช่วยเพิ่มความทนทานและความกระชับบนเส้นทางทรุกันดาร
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการเพิ่มความกว้างของหน้าเท้า เพื่อให้สวมใส่สบายขึ้นสำหรับการแข่งขันวิ่งระยะไกล


และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ The North Face ที่มีชื่อว่า “Surface CTRL” ที่เนื้อยางมีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติ (Bio-based) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะลายดอกยางจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีบเท้าของสัตว์ (Hoof lug design) และมีความสูงของดอกยางอยู่ที่ 3.5 มม.

และเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักกับรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก จะได้ดังนี้
- The North Face Summit VECTIV Sky มีน้ำหนัก 272 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 227 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก มีน้ำหนัก 296 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 267 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
ในด้านของผลงานการแข่งขัน นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Kaytlyn Gerbin สวมใส่รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบของ The North Face Summit VECTIV Sky ลงแข่งขันรายการแข่ง UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2022 ที่ถือเป็นการลงแข่งขันรายการแข่ง UTMB ครั้งแรกของเธอ และสามารถจบลงด้วยการคว้าอันดับที่ 3 ของฝ่ายหญิง

ข้อมูลจำเพาะของ The North Face Summit VECTIV Sky
- Offset: 4 มม. (ปลายเท้าสูง 17 มม. และส้นเท้าสูง 21 มม.)
- น้ำหนัก: 272 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 227 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- ดอกยางสูง 3.5 มม.
The North Face VECTIV Infinite II
The North Face VECTIV Infinite II เป็นรองเท้าวิ่งเทรลสายผจญภัยระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.) สำหรับฝึกซ้อมและแข่งขันของนักวิ่งมหาชนบนเส้นทางทรุกันดารโดยเฉพาะ

โดย The North Face VECTIV Infinite II จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางลิขสิทธิ์เฉพาะรุ่นใหม่ของแบรนด์ The North Face ซึ่งเป็นวัสดุ EVA ที่มี Energy Return สูง (High Rebound EVA) เพื่อให้รองเท้ามีความเสถียรและมั่นคงในการวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร และด้านในบริเวณปลายเท้าจะมีการติดตั้งวัสดุโฟม Pebax ที่มีความหนา 6 มม. ในการทำหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองและส่งแรงขณะวิ่ง
และเมื่อเปรียบเทียบความสูงของพื้นชั้นกลางกับรุ่น VECTIV Infinite รุ่นแรก จะได้ดังนี้
- The North Face VECTIV Infinite II มีความสูงพื้นชั้นกลาง 22/28 มม. (Drop 6 มม.)
- The North Face VECTIV Infinite รุ่นแรก มีความสูงพื้นชั้นกลาง 19/25 มม. (Drop 6 มม.)

และบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่นเพลท TPU แบบยาวเต็มแผ่น (Full-length 3D TPU Plate) ที่มีการแยกแผ่นเพลทด้านในออกเป็นก้านทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถปรับตัวไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ดีขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นเพลทที่ไม่สามารถให้ตัวในยุคแรก (รุ่นแรกใช้แผ่นเพลท Pebax)
รวมทั้งทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับองศา Rocker บริเวณปลายเท้าให้ชันขึ้นอีก 10 มม. เพื่อช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการวิ่ง ซึ่งการรวมกันระหว่างวัสดุพื้นชั้นกลาง องศาพื้นชั้นกลาง และแผ่นเพลท ทางแบรนด์จะเรียกว่า “เทคโนโลยี VECTIV 2.0″

และในส่วนของหน้าผ้าจะมาพร้อมกับหน้าผ้า Jacquard Mesh แบบ 2 ชั้น (Dual-layer Jacquard Mesh) บริเวณปลายเท้า ที่มีความทนทานในการใช้งาน และบริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้าจะเป็นเนื้อผ้า Ripstop Mesh ที่ช่วยเพิ่มความกระชับบนเส้นทางทรุกันดาร
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการเพิ่มความกว้างของหน้าเท้า เพื่อให้สวมใส่สบายขึ้นสำหรับการแข่งขันวิ่งระยะไกล

และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ The North Face ที่มีชื่อว่า “Surface CTRL” ที่เนื้อยางมีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติ (Bio-based) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะลายดอกยางจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีบเท้าของสัตว์ (Hoof lug design) และมีการเพิ่มความสูงของดอกยางขึ้นมาอยู่ที่ 5 มม. เพื่อให้สามารถใช้งานบนเส้นทางทรุกันดารได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการใช้งานบนเส้นทางดินโคลนที่เปียกแฉะ

และเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักกับรุ่น VECTIV Infinite รุ่นแรก จะได้ดังนี้
- The North Face VECTIV Infinite II มีน้ำหนัก 307 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 270 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- The North Face VECTIV Infinite รุ่นแรก มีน้ำหนัก 295 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 262 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
ข้อมูลจำเพาะของ The North Face VECTIV Infinite II
- Offset: 6 มม. (ปลายเท้าสูง 22 มม. และส้นเท้าสูง 28 มม.)
- น้ำหนัก: 307 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 270 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- ดอกยางสูง 5 มม.
The North Face VECTIV Enduris III
The North Face VECTIV Enduris III เป็นรองเท้าวิ่งเทรลสายผจญภัยระยะไกลหนานุ่ม (ระยะ 0 – 170 กม.) สำหรับฝึกซ้อมและแข่งขันของนักวิ่งมหาชน และเป็นรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นยอดนิยมและขายดีที่สุดของแบรนด์ The North Face

และรุ่น VECTIV Enduris ยังเป็นเพียงรุ่นเดียวในปี 2022 ที่มีรุ่นที่ 2 ออกมา ซึ่งในรุ่นที่ 2 เป็นเพียงการปรับปรุงในส่วนของหน้าผ้าเท่านั้น
และ VECTIV Enduris รุ่นที่ 2 ยังเป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่นักวิ่งเทรลอันดับหนึ่งของไทย ผู้มีคะแนน ITRA สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ อย่าง “คุณเจ จันทรบูรณ์ เกรียงชัยไพรพนา” สังกัดทีม The North Face Adventure เอเชีย เลือกสวมใส่ลงแข่งขันในรายการแข่งต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ รายการแข่ง UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2022 ซึ่งคุณเจสามารถเข้าเส้นชัยด้วยอันดับที่ 52 ชาย

รวมทั้ง นักวิ่งหญิงจากประเทศเนปาล Sunmaya Budha สังกัดทีม The North Face Adventure เอเชีย ยังได้นำรองเท้าวิ่งเทรล VECTIV Enduris รุ่นที่ 2 คว้าอันดับที่ 2 ของฝ่ายหญิงในรายการแข่ง UTMB ระยะ CCC (ระยะ 98 กม.) ในปี 2022 อีกด้วย

และ The North Face VECTIV Enduris III ในปี 2023 นี้ จะถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมด

โดย The North Face VECTIV Enduris III จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางลิขสิทธิ์เฉพาะรุ่นใหม่ของแบรนด์ The North Face ซึ่งเป็นวัสดุ EVA ที่มี Energy Return สูง (High Rebound EVA) ตลอดทั้งพื้น ซึ่งภายในจะไม่มีการติดตั้งวัสดุโฟม Pebax
และเมื่อเปรียบเทียบความสูงของพื้นชั้นกลางกับรุ่น VECTIV Enduris รุ่นแรกและรุ่นที่ 2 จะได้ดังนี้
- The North Face VECTIV Enduris III มีความสูงพื้นชั้นกลาง 25/31 มม. (Drop 6 มม.)
- The North Face VECTIV Enduris 1&2 มีความสูงพื้นชั้นกลาง 25/31 มม. (Drop 6 มม.)

และบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่นเพลท TPU แบบยาวเต็มแผ่น (Full-length 3D TPU Plate) ที่มีการแยกแผ่นเพลทด้านในออกเป็นก้านทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถปรับตัวไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ดีขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นเพลทที่ไม่สามารถให้ตัวในยุคแรก
รวมทั้งทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับองศา Rocker บริเวณปลายเท้าให้ชันขึ้นอีก 10 มม. เพื่อช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการวิ่ง ซึ่งการรวมกันระหว่างวัสดุพื้นชั้นกลาง องศาพื้นชั้นกลาง และแผ่นเพลท ทางแบรนด์จะเรียกว่า “เทคโนโลยี VECTIV 2.0″

และในส่วนของหน้าผ้าจะมาพร้อมกับหน้าผ้า Mesh ที่มีการสกรีนลายแบบ 3D (3D-printed Upper) บริเวณปลายเท้า ที่ช่วยในการปกป้องเท้าและเพิ่มความทนทานในการใช้งาน และบริเวณกลางเท้าถึงส้นเท้าจะเป็นเนื้อผ้า Ripstop Mesh ที่ช่วยเพิ่มความกระชับบนเส้นทางทรุกันดาร
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการเพิ่มความกว้างของหน้าเท้า เพื่อให้สวมใส่สบายขึ้นสำหรับการแข่งขันวิ่งระยะไกล

และในส่วนของดอกยางจะมาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ The North Face ที่มีชื่อว่า “Surface CTRL” ที่เนื้อยางมีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติ (Bio-based) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะลายดอกยางจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีบเท้าของสัตว์ (Hoof lug design) และมีความสูงของดอกยางอยู่ที่ 3.5 มม.

และเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักกับรุ่น VECTIV Enduris รุ่นแรก และรุ่นที่ 2 จะได้ดังนี้
- The North Face VECTIV Enduris III มีน้ำหนัก 307 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 257 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- The North Face VECTIV Enduris 1&2 มีน้ำหนัก 309 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 265 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
ข้อมูลจำเพาะของ The North Face VECTIV Enduris III
- Offset: 6 มม. (ปลายเท้าสูง 25 มม. และส้นเท้าสูง 31 มม.)
- น้ำหนัก: 307 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 257 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- ดอกยางสูง 3.5 มม.
และในปี 2023 เราจะได้เห็นรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ Summit VECTIV อยู่บนสนามแข่งต่างๆ ทั่วโลก โดยทีมแข่งของทางฝั่งเอเชียอย่างทีม The North Face Adventure ซึ่งเป็นทีมที่ประกอบไปด้วยนักวิ่งชั้นนำและเป็นอันดับหนึ่งของแต่ละประเทศ

ซึ่งได้แก่ นักวิ่งหญิงจากประเทศเนปาล Sunmaya Budha, นักวิ่งชายจากประเทศไทย คุณเจ จันทรบูรณ์ เกรียงชัยไพรพนา, นักวิ่งชายจากประเทศฟิลิปปินส์ John Ray Onifa หรือ Stingray, นักวิ่งชายจากฮ่องกง Ho Chung Wong, และนักวิ่งชายจากประเทศมาเลเชีย Simpat Daved ที่ ณ เวลานี้ ได้เริ่มนำรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ Summit VECTIV ไปโลดแล่นคว้าชัยในสนามแข่งแล้ว

และนี่คือทั้งหมดของบทความ The North Face ซีรีส์ SUMMIT VECTIV เหล่ารองเท้าวิ่งเทรลที่พร้อมพลิกวงการวิ่งเทรลในปี 2023 โดยทั้ง 4 รุ่น จะมีกำหนดการวางจำหน่ายในต่างประเทศภายในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ต้องรอทาง The North Face Thailand ประกาศอย่างเป็นทางการอีกทีนะครับ
หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles