วันนี้เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งาน The North Face Summit VECTIV Pro รองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอนสำหรับแข่งขันระยะไกล ที่ถือได้ว่าเป็นการเข้ามาปฏิวัติและสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอนอย่างแท้จริง โดยจะให้ความรู้สึกในการวิ่งเป็นเช่นไรและทำไมการออกแบบถึงสามารถปฏิวัติวงการรองเท้าวิ่งเทรล เชิญติดตามได้เลยครับ

ปล. ท่านใดที่ยังไม่ทราบถึงความเป็นมาของรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV และข้อมูลของรองเท้าวิ่งเทรล The North Face ซีรีส์ VECTIV ในปี 2023 ทั้ง 4 รุ่นหลัก สามารถอ่านที่ได้ที่นี่เลยครับ
Summit Series VECTIV ในปี 2023: ตระกูลรองเท้าวิ่งเทรลที่ทำให้ทุกช่วงของการแข่งขันเป็นเวลาที่ดีเสมอ

รองเท้าวิ่งเทรล The North Face ตระกูล Summit Series VECTIV ในปี 2023 เป็นกลุ่มรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขัน ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก The North Face Flight VECTIV รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกลที่มาพร้อมกับแผ่นคาร์บอนคู่แรกของโลก ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2021

โดย The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก ได้ถูกใช้ทำลายสถิติต่างๆ และสร้างผลงานไว้ในสนามแข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Pau Capell นักวิ่งเทรลชาวสเปน ที่ได้นำรองเท้ารุ่นนี้เข้าทำลายสถิติสนามแข่ง Trail de Menorca (ระยะทาง 185 กม.) ในปี 2020 หรือ นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Kaytlyn Gerbin ที่คว้าแชมป์และทำลายสถิติสนามแข่ง Transgrancanaria (ระยะ 128 กม.) ในปี 2020
รวมไปถึงนักวิ่งเทรลชายที่มีคะแนน ITRA สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกจากสหราชอาณาจักรอย่าง Jonathan Albon ยังได้ใช้รองเท้ารุ่นแรกนี้คว้าแชมป์ UTMB ระยะ OCC (ระยะ 55 กม.) ในปี 2021 อีกด้วย

และแม้ว่าจะมีผลงานที่โดดเด่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก ยังไม่ใช่รองเท้าวิ่งเทรลที่สมบูรณ์แบบนัก โดยเฉพาะกับการออกแบบแผ่นคาร์บอน ที่ในรุ่นแรกเป็นแผ่นเพลทแบบเต็มแผ่น ที่ไม่สามารถให้ตัวด้านข้างได้ ซึ่งทำให้การวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร ตัวรองเท้าจะมีอาการพลิกไปมาได้ง่าย
รวมไปถึงในด้านของการตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของนักแข่งภายในทีม The North Face ไม่ว่าจะเป็นระยะการใช้งานในการแข่งขัน หรือความชื่นชอบในระดับความหนาของพื้นชั้นกลาง ที่มีผลโดยตรงต่อความคล่องตัวในการใช้งานบนเส้นทางทรุกันดาร

ทำให้ในช่วงกลางปี 2021 แบรนด์ The North Face ได้ดึงตัวนักออกแบบรองเท้าวิ่งชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกันอย่าง Matthew Head เจ้าของผลงานการออกแบบรองเท้าวิ่ง Hoka One One Carbon X, Tecton X, และ TenNine เข้ามานำทีมออกแบบและพัฒนารองเท้าวิ่งเทรล

ซึ่งการออกแบบในครั้งนี้ของ Matthew Head ถือได้ว่าจัดเต็มในทุกนวัตกรรม ตั้งแต่วัสดุหน้าผ้า วัสดุพื้นชั้นกลาง การออกแบบองศาพื้นชั้นกลางและแผ่นเพลท รวมไปถึงดอกยาง ที่ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมดและถูกพัฒนาขึ้นบนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากนักแข่งภายในทีม
โดยทีมออกแบบของแบรนด์ The North Face ได้อธิบายถึงแนวคิดในการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลในปี 2023 นี้ว่า “รองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกลจะถูกออกแบบบนพื้นฐานของความสุขและความสนุกในการวิ่งเทรล แม้ว่าจะอยู่ในการแข่งขันก็ตาม ซึ่งนักวิ่งอาจจะต้องลงสนามแข่งที่ใช้เวลายาวนานถึง 24 ชั่วโมง แต่ช่วงเวลานั้นต้องเป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอ ดังนั้น รองเท้าวิ่งเทรลของเราต้องสามารถมอบความรู้สึกที่เพลิดเพลินในการวิ่ง”

ทำให้ในปี 2023 นี้ แบรนด์ The North Face ได้เปิดตัวรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันถึง 2 รุ่น ภายใต้ชื่อซีรีส์ว่า “Summit Series VECTIV” ที่ได้แก่
- The North Face Summit VECTIV Pro มีความสูงพื้นชั้นกลาง 26/32 มม. (Drop 6 มม.)
- The North Face Summit VECTIV Sky มีความสูงพื้นชั้นกลาง 17/21 มม. (Drop 4 มม.) โดยเป็นรุ่นที่เข้ามาแทนที่รุ่น Flight VECTIV โดยตรง
ซึ่งทั้ง 2 รุ่น เป็นรองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอนที่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้ในการแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0-170 กม.) โดยจะแตกต่างกันในด้านของการออกแบบความหนาของพื้นชั้นกลาง

โดยทีมออกแบบของแบรนด์ The North Face ได้อธิบายว่า
“เรารู้ว่า รองเท้าวิ่งเทรล The North Face Flight VECTIV รุ่นแรก ไม่ใช่รองเท้าวิ่งเทรลที่เหมาะกับนักวิ่งเทรลทุกคนภายในทีมของเรา ทั้งในด้านของระยะในการแข่งขัน รวมไปถึงความชื่นชอบของนักวิ่ง ที่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะวิ่งบนรองเท้าวิ่งเทรลที่หนาและนุ่ม พวกเขายังคงชื่นชอบรองเท้าวิ่งเทรลที่ไม่หนามากและมีความคล่องตัว”
“ซึ่งทำให้เราต้องมีการแบ่งรองเท้าวิ่งเทรลออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งรองเท้าวิ่งเทรลพื้นหนา (High-stack Height) และรองเท้าวิ่งเทรลที่มีพื้นหนาปานกลาง (Mid-stack Height)”

“โดย The North Face Summit VECTIV Pro สามารถช่วยประหยัดแรงในการวิ่งได้ดีในการแข่งขันระยะไกล ในขณะที่ The North Face Summit VECTIV Sky ก็สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเพียงพอสำหรับการแข่งขันระยะไกล รวมไปถึงมีความเอนกประสงค์ที่จะใช้ในการแข่งขันระยะสั้นอย่าง Sky Race, Mountain Marathon, และ Vertical K”
และในด้านของผลงานการแข่งขัน นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Katie Schide อดีตนักวิ่งเทรลสังกัด On Running ซึ่งเธอเคยจบการแข่งขัน UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2019 ด้วยอันดับที่ 6 และในปี 2021 ด้วยอันดับที่ 8 ของฝ่ายหญิง แต่หลังจากที่ย้ายมาสังกัดอยู่กับทีม The North Face เธอได้สวมใส่รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบของ The North Face Summit VECTIV Pro เข้าคว้าแชมป์ UTMB ของฝ่ายหญิง ในปี 2022 ได้สำเร็จ

ซึ่ง Katie Schide กล่าวว่า “รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบคู่นี้ช่วยให้เธอประหยัดแรงได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับเส้นทางที่ต้องวิ่งลงเขายาวในช่วงครึ่งท้ายของการแข่งขัน และแม้ว่าจะเหนื่อยล้าในช่วงท้าย แต่รองเท้ามีความนุ่ม รองรับแรงกระแทกได้ดี รวมทั้งช่วยในการส่งแรงเป็นอย่างมาก”
และนักวิ่งเทรลชายจากสหรัฐอเมริกา Zach Miller ที่สวมใส่รองเท้าต้นแบบของ The North Face Summit VECTIV Pro จบการแข่งขัน UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2022 ด้วยอันดับที่ 5

นอกจากนี้ นักวิ่งเทรลหญิงจากสหรัฐอเมริกา Kaytlyn Gerbin ที่มีความถนัดในรองเท้าวิ่งพื้นบางและคุ้นเคยกับรองเท้า Flight VECTIV รุ่นแรก ซึ่งเธอได้เลือกสวมใส่รองเท้าวิ่งเทรลต้นแบบของ The North Face Summit VECTIV Sky ลงแข่งขันรายการแข่ง UTMB (ระยะ 171 กม.) ในปี 2022 ที่ถือเป็นการลงแข่งขันรายการแข่ง UTMB ครั้งแรกของเธอ และสามารถจบการแข่งขันด้วยการคว้าอันดับที่ 3 ของฝ่ายหญิง

และรุ่นที่ทางเราจะรีวิวในบทความนี้ คือ The North Face Summit VECTIV Pro
ข้อมูลจำเพาะของ The North Face Summit VECTIV Pro
- น้ำหนัก: 287 กรัม ในไซส์ 9US ชาย และ 242 กรัม ในไซส์ 8US หญิง
- น้ำหนักชั่งจริง: 303 กรัม ในไซส์ 11US ชาย
- Offset: 6 มม. (ปลายเท้าสูง 26 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม.)
- ความกว้างหน้าเท้าแบบปกติ ที่ถูกปรับแต่งให้กว้างขึ้นและเข้ากับรูปเท้าที่หลากหลายมากขึ้น
- ราคา: 8,350 บาท

รีวิวและความคิดเห็นหลังใช้งาน The North Face Summit VECTIV Pro

และหลังจากทราบรายละเอียดของ The North Face ตระกูล Summit Series VECTIV กันไปแล้ว เรามารีวิวความคิดเห็นหลังใช้งานของ The North Face Summit VECTIV Pro กันนะครับ ซึ่งจะสามารถแบ่งประเด็นได้ดังนี้
หน้าผ้า (Upper)

หน้าผ้าของ The North Face Summit VECTIV Pro มาพร้อมกับหน้าผ้า TPU Mesh แบบตาข่ายโปร่ง ที่มีการทอแบบ 2 ชั้น (Dual-layer TPU Mesh) ตลอดทั้งหน้าผ้า ซึ่งเป็นเทคนิคการทอเนื้อผ้าวัสดุ TPU ให้ทบกัน 2 ชั้น โดยจะมีลักษณะคล้ายกับเป็นเนื้อผ้าชั้นเดียว ที่ไม่สามารถแยกชั้นเนื้อผ้าออกจากกันได้ ซึ่งเทคนิคการทอนี้จะช่วยเพิ่มความทนทานในการใช้งานของหน้าผ้าและเพิ่มความกระชับ ที่จะไม่ยืดหรือย้วยขณะวิ่ง
และคุณสมบัติพื้นฐานที่โดดเด่นของหน้าผ้าวัสดุ TPU Mesh คือ เป็นหน้าผ้าที่มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ที่เนื้อผ้าจะไม่ซับและไม่อมน้ำ ทำให้เมื่อวิ่งลงน้ำ หน้าผ้าจะไม่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น


และหน้าผ้าภายในจะมีการบุโครงเนื้อผ้า ที่ทำหน้าที่ช่วยให้หน้าผ้ามีความกระชับอยู่ทรง และทำหน้าที่เป็น Toe Cap ในการช่วยปกป้องเท้า รวมทั้งช่วยป้องกันการเสียดสีของเท้ากับเนื้อผ้า TPU Mesh โดยตรง ซึ่งทางแบรนด์ The North Face จะมีการออกแบบให้โครงเนื้อผ้านี้สามารถงอและพับตัวได้ตามการเคลื่อนไหวของปลายเท้า


ในส่วนของลิ้นรองเท้าจะเป็นวัสดุนีโอพรีน (Neoprene) ที่มีความนุ่มสบายในการสวมใส่ และมีลักษณะเป็นสายคาดบริเวณกลางเท้า รวมทั้งมีการสกรีนยางบริเวณสายคาดภายใน เพื่อเพิ่มความกระชับในการจับเท้า
และเชือกรองเท้าจะมีการออกแบบให้มีลักษณะเป็นขอบหยัก (หรือ Ridged Edge) ที่ช่วยลดการเลื่อนหรือไหลของเชือก


และในส่วนของขอบบริเวณส้นเท้าจะมีการบุขอบด้วยฟองน้ำรูปทรงตัว A ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าในรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก และสามารถโอบรอบและจับบริเวณส้นเท้าได้ดีขึ้น
และทั้งลิ้นรองเท้าและขอบบริเวณส้นเท้าจะถูกออกแบบมาให้โค้งเข้ารูปกับข้อเท้าเป็นอย่างมาก ทำให้หน้าผ้าสามารถแนบชิดไปกับบริเวณข้อเท้า ซึ่งช่วยทั้งเพิ่มความกระชับในการสวมใส่และช่วยป้องกันเศษหินหรือเศษดินที่จะหลุดเข้าไปภายในรองเท้าได้เป็นอย่างดี


ในส่วนของ Heel Counter จะเป็น Heel Counter ที่มาจากแผ่นคาร์บอนที่ยกขอบบริเวณส้นเท้าขึ้น เพื่อโอบและประคองบริเวณส้นเท้าไม่ให้มีอาการส้นเท้าเลื่อนหรือหลุดออกจากตัวพื้นรองเท้า


ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ หน้าผ้าของ The North Face Summit VECTIV Pro เป็นหน้าผ้าที่สวมใส่สบาย มีความกระชับและจับได้เท้าได้เป็นอย่างดี ไม่อาการส้นรูดหรืออาการเท้าเลื่อนภายในรองเท้า รวมทั้งหน้าผ้าจะมีความคงรูปและกระชับติดกับเท้าตลอดเวลาขณะวิ่ง ไม่มีอาการหน้าผ้ายืดหรือย้วยขณะวิ่งทำความเร็วหรือวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร

ในด้านการระบายอากาศและระบายน้ำ ถือได้ว่าระบายอากาศและระบายน้ำได้อย่างดีเยี่ยม จากเนื้อผ้า TPU Mesh ที่เป็นตาข่ายโปร่ง ไม่มีอาการร้อนเท้าและอาการเท้าชื้น รวมทั้งหน้าผ้าไม่มีอาการอมน้ำ ทำให้หลังจากวิ่งข้ามธารน้ำ หน้าผ้าจะไม่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาก
ซึ่งหน้าผ้าของ The North Face Summit VECTIV Pro ทางเราต้องยกให้เป็นหนึ่งในหน้าผ้าของรองเท้าวิ่งเทรลที่ถูกออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ ที่ดูจากภายนอกจะเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่การออกแบบแต่ละจุดล้วนมีวัตถุประสงค์และหน้าที่ที่สำคัญต่อการใช้งาน

ในส่วนของการเลือกไซส์ ทางเราเลือกตรงไซส์ คือ 11US โดยความยาวรองเท้าจะเท่ากับไซส์ 11US ของรองเท้าวิ่งเทรลรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ The North Face และเท่ากับแบรนด์อื่นๆ เช่น แบรนด์ Merrell, Reebok และ Adidas
ซึ่งในส่วนของความกว้างหน้าเท้าของ The North Face Summit VECTIV Pro จะเป็นความกว้างแบบหน้าเท้าปกติ (Medium Width หรือ D) โดยทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับแต่งความกว้างของหน้าเท้าให้มีความกว้างขึ้นและมีหลังเท้าที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในของบริเวณหน้าเท้า ในกรณีที่วิ่งระยะไกลแล้วเท้ามีการขยาย และสามารถรองรับรูปเท้าของนักวิ่งที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
โดยนักวิ่งหน้าเท้ากว้าง (2E) และหลังเท้าสูง สามารถสวมใส่รองเท้าคู่นี้ได้อย่างสบายๆ ซึ่งทางเราให้นักวิ่งหน้าเท้ากว้างทดสอบแล้ว


พื้นชั้นกลาง (Midsole)

ในส่วนพื้นชั้นกลางของ The North Face Summit VECTIV Pro จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางลิขสิทธิ์เฉพาะรุ่นใหม่ของแบรนด์ The North Face ซึ่งเป็นวัสดุ Pebax ผสมกับวัสดุ EVA ที่มี Energy Return สูง (Pebax/High Rebound EVA Blend) เพื่อให้วัสดุ Pebax มีความทนทานที่สูงขึ้นและมีความเสถียรมากขึ้นในการใช้งานบนเส้นทางทรุกันดาร
ในด้านความนุ่มที่วัดได้จากบริเวณผิวด้านข้างของพื้นชั้นกลาง มีดังนี้
รุ่น | ค่าความนุ่ม (Durometer Shore C: HC) | ระดับความนุ่ม |
The North Face Summit VECTIV Pro | 35 – 37 | นุ่มมาก |
หมายเหตุ:
- วิธีการอ่านค่า Durometer Shore C คือ ยิ่งตัวเลขน้อย พื้นโฟมจะยิ่งนุ่ม และตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเฟิร์ม
- ระดับความนุ่มแบ่งเป็น นุ่มมาก (30-35 HC) ➞ นุ่ม (35-40 HC) ➞ นุ่มน้อย (40-50 HC)
- ระดับความเฟิร์มแบ่งเป็น เฟิร์ม (50-60 HC) ➞ เฟิร์มมาก (60-70 HC)

และพื้นชั้นกลางจะมีความสูงบริเวณปลายเท้าอยู่ที่ 26 มม. และส้นเท้าสูง 32 มม. (Drop 6 มม.)
และความกว้างฐานของรองเท้าบริเวณปลายเท้าจะมีความกว้างอยู่ที่ 12.6 ซม. และบริเวณส้นเท้ากว้าง 9.9 ซม. ในไซส์ 11US ชาย

และบริเวณด้านบนของพื้นชั้นกลางจะมีการติดตั้งแผ่นคาร์บอนแบบยาวเต็มแผ่น (Full-length 3D Carbon Plate) ที่ในครั้งนี้จะมีการแยกแผ่นคาร์บอนด้านในออกเป็นก้านทั้งบริเวณปลายเท้าและส้นเท้า เพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถปรับตัวไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ดีขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นเพลทที่ไม่สามารถให้ตัวในยุคแรก
และบริเวณปลายเท้าของแผ่นเพลทคาร์บอนจะมีการพับแผ่นคาร์บอนลงมาเป็นลักษณะคล้ายกับปีกทั้งสองฝั่งและถูกฝังไว้ด้านใน ซึ่งทางแบรนด์เรียกว่า “Stability Wings” เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรและมั่นคงให้กับพื้นชั้นกลางบริเวณปลายเท้าที่มีความหนาและนุ่มมาก

และในด้านของการออกแบบองศาพื้นชั้นกลาง ทางแบรนด์ The North Face จะออกแบบให้องศาพื้นชั้นกลางมีลักษณะคล้ายองศาของรองเท้าตะปู (Spikes) ที่บริเวณส้นเท้าจะยกลอยตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปี 2023 นี้ ทางแบรนด์จะมีแนวคิดการออกแบบให้รองเท้าวิ่งเทรลทุกรุ่นมีจุดส่งแรงหลักอยู่ที่บริเวณปลายเท้าและกลางเท้า


โดยเมื่อลงเท้าบริเวณปลายเท้าและกลางเท้า แผ่นคาร์บอนและองศาพื้นชั้นกลางจะสร้างจุดสมดุลที่ค้ำยันบริเวณกลางเท้าและทำให้ส้นเท้ายกลอยตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้การวิ่งขึ้นเขาและทางเรียบ รองเท้าคู่นี้จะให้ความรู้สึกเหมือนกับสวมใส่รองเท้าวิ่งที่มี Drop ที่สูง ซึ่งเป็นองศาของพื้นชั้นกลางที่สามารถส่งแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในการวิ่งขึ้นเขาและวิ่งทางเรียบ

แต่เมื่อเปลี่ยนการลงเท้ามาที่บริเวณส้นเท้าในการวิ่งลงเขา รองเท้าคู่นี้จะให้ความรู้สึกเหมือนกับสวมใส่รองเท้าวิ่งที่มี Drop ที่ต่ำ (คล้ายกับ Drop 0) ทำให้การลงเขาไม่มีอาการหน้าทิ่ม และสามารถควบคุมรองเท้าขณะลงเขาได้ง่าย
ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่ล้ำสมัยและปฏิวัติแนวคิดการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลเป็นอย่างมาก ที่ในอดีตรองเท้า Drop สูง จะเหมาะกับการวิ่งขึ้นเขาและทางเรียบ แต่จะมีปัญหาในการควบคุมรองเท้าขณะวิ่งลงเขา และในส่วนของรองเท้าวิ่งเทรล Drop ต่ำ แม้ว่าจะโดดเด่นในการวิ่งลงเขา แต่ก็มีปัญหาในการวิ่งขึ้นเขา ที่ทำให้เอ็นร้อยหวายและน่องทำงานหนักจนเกินไป

และการที่พื้นบริเวณส้นเท้ายกลอยจากพื้นยังช่วยลดโอกาสที่เท้าจะพลิก จากการที่ส้นเท้าไปสัมผัสกับหินหรืออุปสรรคต่างๆ ขณะวิ่งโดยไม่ตั้งใจ
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับองศา Rocker บริเวณปลายเท้าให้ชันขึ้นอีก 10 มม. จากรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก เพื่อช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการวิ่ง
และการรวมกันระหว่างวัสดุพื้นชั้นกลาง แผ่นคาร์บอนและองศาพื้นชั้นกลาง ทางแบรนด์จะเรียกว่า “เทคโนโลยี VECTIV 2.0″

ในส่วนของแผ่นรองบุพื้น (Strobel) จะถูกติดตั้งด้วยวัสดุ EVA ที่ช่วยเพิ่มความนุ่มและช่วยในการส่งแรง และในส่วนของแผ่นรองรองเท้า (Insole) มาพร้อมกับแผ่นรองวัสดุ EVA ที่มีความนุ่มแน่น ซึ่งให้การตอบสนองและเพิ่มความเสถียร รวมทั้งเป็นแผ่นรองที่ไม่อมน้ำ โดยมีความหนาอยู่ที่ 4 มม.

ในด้านความรู้สึกหลังสวมใส่ พื้นชั้นกลางของ The North Face Summit VECTIV Pro เป็นพื้นชั้นกลางที่ให้ความรู้สึกในการวิ่งที่แปลกใหม่และไม่เหมือนรองเท้าวิ่งเทรลคู่ไหนเลย
โดยพื้นชั้นกลางจะให้ความรู้สึกที่นุ่มเด้ง ส่งแรงได้อย่างดีเยี่ยมและมีประสิทธิภาพในการวิ่งบนเส้นทางดินเรียบ โดยวิ่งสนุกไม่ต่างจากรองเท้าวิ่งถนนคาร์บอน แต่มีความเสถียรและมั่นคงอย่างน่าเหลือเชื่อในการวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร ซึ่งจะไม่มีอาการโคลงเคลง สั่นหรือดิ้นไปมาเหมือนกับรองเท้าวิ่งถนนคาร์บอน แม้ว่าจะมีพื้นชั้นกลางที่หนามาก

และในการวิ่งขึ้นเขาถือได้ว่าประหยัดแรงเป็นอย่างมาก ใช้แรงเพียงเล็กน้อยในการยันตัวไต่ขึ้นเขา จากการออกแบบพื้นชั้นกลางและแผ่นคาร์บอนที่ช่วยให้พื้นรองเท้าสามารถค้ำยันบริเวณกลางเท้า ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับขั้นบันไดให้เหยียบ ประกอบกับวัสดุโฟมที่เด้ง ทำให้ถือได้ว่าสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากการนำไปทดสอบวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร เช่น ทางหินลอย พื้นชั้นกลางที่ทางแบรนด์ The North Face เลือกปรับแต่งให้มีความนุ่มมาก จะทำให้สามารถยุบเก็บหินก้อนลอยขนาดเล็กได้ ประกอบกับแผ่นคาร์บอนที่ถูกวางอยู่ใต้เท้าจะทำให้พื้นชั้นกลางสามารถคงความเสถียรและมั่นคงได้ตลอดเส้นทาง ไม่มีอาการพลิกไปมา

และแผ่นคาร์บอนที่พับลงมาเป็นรูปทรงของปีกยังทำให้ปลายเท้ามีความเสถียรและมั่นคงเป็นอย่างมาก ซึ่งหากต้องวิ่งบนเส้นทางที่มีความทรุกันดารมากๆ ก็สามารถลงเท้าบริเวณปลายเท้าและแตะยันตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับรองเท้าวิ่งเทรลพื้นบาง ที่มีความคล่องตัวบนเส้นทางทรุกันดาร
ในส่วนของการวิ่งลงเขา และเปลี่ยนการลงเท้ามาที่บริเวณส้นเท้าจะทำให้รองเท้าให้ความรู้สึกเหมือนกับสวมใส่รองเท้าวิ่งที่มี Drop ที่ต่ำ ทำให้การลงเขาไม่อาการรองเท้าเร่ง หรือหน้าทิ่ม ซึ่งสามารถควบคุมรองเท้าขณะลงเขาได้ง่าย รวมทั้งมีความนุ่มและซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม

และ The North Face Summit VECTIV Pro นี้จะไม่มีอาการแผ่นคาร์บอนสัมผัสโดนนิ้วก้อยเหมือนกับในรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก อีกต่อไป แต่ในครั้งแรกที่สวมใส่และกดเท้าลงไป นักวิ่งอาจจะรู้สึกแตกต่างจากรองเท้าวิ่งเทรลปกติ โดยจะสัมผัสถึงแผ่นคาร์บอนตรงบริเวณปลายเท้าที่พับลงมาเป็นปีกนกได้เล็กน้อย แต่เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ จะรู้สึกคุ้นชิน ซึ่งไม่ได้มีอาการกัดหรือกดทับใดๆ
ในส่วนของนักวิ่งเท้าล้ม (Overpronators) รองเท้าคู่นี้อาจจะยังไม่เหมาะนัก ซึ่งแม้ว่าจะมีความเสถียรกว่ารองเท้าวิ่งถนนคาร์บอนส่วนใหญ่อยู่มาก แต่โฟมที่มีความหนาและนุ่มมาก และไม่ได้มีการเสริมโฟมบริเวณอุ้งเท้าด้านใน (Medial Post) ทำให้เท้าของนักวิ่งเท้าล้มจะยังสามารถล้มเข้าด้านในได้อยู่

ดอกยาง (Outsole)

The North Face Summit VECTIV Pro มาพร้อมกับดอกยางลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ The North Face ที่มีชื่อว่า “Surface CTRL” ที่เนื้อยางมีส่วนผสมของวัสดุจากธรรมชาติ (Bio-based) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะลายดอกยางจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีบเท้าของสัตว์ (Hoof lug design) และมีความสูงของดอกยางอยู่ที่ 3.5 มม.
และดอกยางจะมีการฉลุเนื้อยางออกไป เพื่อช่วยลดน้ำหนักและช่วยให้พื้นรองเท้าสามารถปรับตัวไปบนเส้นทางที่ทรุกันดารได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ทางแบรนด์ The North Face จะมีการปรับสูตรเนื้อยางใหม่ ให้สามารถยึดเกาะพื้นได้ดียิ่งขึ้นกว่าในรุ่น Flight VECTIV รุ่นแรก

ในด้านประสิทธิภาพของการยึดเกาะพื้นของเนื้อดอกยาง สามารถแบ่งได้ดังนี้
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง ดอกยางของ The North Face Summit VECTIV Pro สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 56.5 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่แห้งอยู่ 35 องศา)
- ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นผิวที่เปียกน้ำ ดอกยางของ The North Face Summit VECTIV Pro สามารถยึดเกาะพื้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานเช่นกัน โดยจะยึดเกาะอยู่ที่ 37 องศา (ค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งเทรลอยู่ 30 องศา)

โดยค่าเฉลี่ยมาตรฐานการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของรองเท้าวิ่งเทรล คือ ค่าเฉลี่ยที่รองเท้าวิ่งเทรลส่วนใหญ่สามารถยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่ถูกออกแบบมาให้กับรองเท้าวิ่งเทรลส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 องศา
รวมทั้ง ค่าการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกน้ำของดอกยางทั้งในรองเท้าวิ่งถนนและวิ่งเทรล ที่ทางเราทดสอบแล้วพบว่า “ให้ความรู้สึกที่มั่นคงมาก ไม่มีอาการลื่นหรือไถลบนเส้นทางที่เปียกน้ำ จะมีค่าอยู่ที่ 30 องศาขึ้นไป”

โดยรวม ดอกยาง Surface CTRL ของ The North Face Summit VECTIV Pro ถือเป็นดอกยางที่เกาะพื้นได้ดีเป็นอย่างมาก ทั้งพื้นผิวแห้งและเปียกน้ำ ทำให้การวิ่งบนเส้นทางทรุกันดาร รองเท้าจะไม่มีอาการลื่นไถลและมั่นใจในการลงเท้าเป็นอย่างมาก
โดยสามารถกล่าวได้ว่าประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นของเนื้อยาง Surface CTRL ในรองเท้าคู่นี้ อยู่ในระดับที่เหนือกว่าเนื้อยาง Vibram MegaGrip แต่ในด้านของความทนทานในการใช้งานจะอยู่ในระดับปานกลาง ที่ไม่ทนทานเท่ากับเนื้อยาง Vibram MegaGrip

สรุปโดยรวมและการใช้งาน

The North Face Summit VECTIV Pro เป็นรองเท้าวิ่งเทรลที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.) ที่มีความล้ำสมัยและปฏิวัติแนวคิดการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอน
ซึ่ง The North Face Summit VECTIV Pro เป็นรองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอนที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการวิ่งเทรลอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่การนำรองเท้าวิ่งถนนคาร์บอนมาติดตั้งดอกยางเทรลหรือการผ่าแผ่นคาร์บอนเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการออกแบบองศารองเท้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยถือเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในปี 2023 นี้

โดยรองเท้าคู่นี้จะให้ความรู้สึกเหมือนมีรองเท้าหลายประเภทในคู่เดียว ที่เมื่อลงเท้าบริเวณปลายเท้าและกลางเท้าจะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรองเท้าวิ่งเทรล Drop สูง ที่สามารถส่งแรงได้ดีในการวิ่งขึ้นเขาและวิ่งทางเรียบ และเมื่อเปลี่ยนการลงเท้ามาที่บริเวณส้นเท้าจะให้ความรู้สึกเป็นรองเท้าวิ่งเทรล Drop ต่ำ ทำให้สามารถควบคุมรองเท้าได้ง่ายขณะวิ่งลงเขา
และเมื่อต้องการความคล่องตัวบนเส้นทางทรุกันดาร ก็สามารถเลื่อนการลงเท้ามาที่ปลายเท้าตรงบริเวณแผ่นคาร์บอนที่พับลงมาเป็นปีกนก ซึ่งจะทำให้รองเท้ามีความคล่องตัวเหมือนกับรองเท้าวิ่งเทรลพื้นบาง

ในด้านเทคโนโลยีของ The North Face Summit VECTIV Pro ถือว่าให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าผ้าวัสดุ TPU Mesh, พื้นชั้นกลางวัสดุ Pebax, แผ่นคาร์บอน, และดอกยางที่เกาะพื้นได้อย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งความรู้สึกในการสวมใส่ของรองเท้าคู่นี้ คือ สวมใส่สบาย นุ่ม เด้ง ประหยัดแรง และเสถียรมั่นคงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทำให้ The North Face Summit VECTIV Pro เป็นรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขัน ที่วิ่งสนุกและมีความได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะใช้แข่งขันในระยะใดก็ตาม

และทางเราแนะนำว่านักวิ่งที่จะใช้ The North Face Summit VECTIV Pro ในการแข่งขัน ควรจะหา The North Face VECTIV Enduris III มาสลับใช้สำหรับการฝึกซ้อมอีกหนึ่งคู่ ซึ่งรุ่น VECTIV Enduris III จะมีองศาของพื้นชั้นกลางที่ใกล้เคียงกับรุ่น Summit VECTIV Pro ซึ่งจะช่วยยืดระยะการใช้งานของรองเท้าแข่งหลักได้
โดยรวม The North Face Summit VECTIV Pro เป็นรองเท้าวิ่งเทรลสำหรับแข่งขันระยะไกล (ระยะ 0 – 170 กม.) ที่ทางเราต้องยกให้เป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งเทรลที่ดีที่สุดในปี 2023 ที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ของการออกแบบรองเท้าวิ่งเทรลคาร์บอนหนานุ่มอย่างแท้จริง

และในบทความรีวิว The North Face Summit VECTIV Pro นี้ ต้องขอขอบคุณทาง The North Face Thailand ที่ส่งรองเท้ามาให้ทางเราทดสอบนะครับ
และท่านใดที่สนใจรองเท้าวิ่งเทรล The North Face Summit VECTIV Pro ณ เวลานี้ จะมีวางจำหน่ายแบบออนไลน์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ และวางจำหน่าย ณ หน้าร้าน The North Face เฉพาะสาขาเซ็นทรัลเวิลด์, ลาดพร้าว, และเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ในราคา 8,350 บาท
- วางจำหน่ายแบบออนไลน์ที่เว็บไซต์: Thenorthface.lotsthailand

หวังว่าบทความนี้เป็นจะเป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหรือผู้ที่สนใจในการวิ่งหลาย ๆ ท่าน ขอให้วิ่งให้สนุกครับ
สามารถติดตาม Running Profiles ได้ทั้งใน
- FB: Running Profiles
- Website: https://runningprofiles.com/
- Youtube: Running Profiles